BCG

SUCCESS CASE カーボンラベル登録および組織と製品のカーボンフットプリント認証 [EP.1]

Success Case Carbon Footprint Label รอบขึ้นทะเบียนในปี 2567  ในการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนรับเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์ จากบริการด้าน BCG / Environment & Sustainable Consulting ของ FDI Group ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับองค์กรต่างๆ ในความสำเร็จที่เกิดขึ้นในโอกาสอันสำคัญนี้ ของการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์  จากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อมวลมนุษยชาติทั่วโลก โดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจากความสำคัญของปัญหาดังกล่าวทำให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน โดยตั้งเป้าหมายร่วมกันในการลด บรรเทาความรุนแรงทางสภาพภูมิอากาศ มีวัตถุประสงค์หลักร่วมกัน คือการเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์  โดยออกมาตรการที่สำคัญ นโยบายในการร่วมมือกันเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม  “ประเทศไทยตั้งเป้าหมาย Carbon Neutality ภายในปี 2050 และจะพัฒนาสู่ Carbon Net Zero ภายในปี 2065 จากกรอบนโยบายที่ตั้งเป้าหมายไว้ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากขาดความร่วมมือของทุกภาคส่วนภายในประเทศ “ พบกับ 5 บริษัทที่ FDI ให้บริการให้คำปรึกษา ซึ่งในแต่ละบริษัทจะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้างนั้น ติดตามกันต่อได้ในบทความนี้  เจาะลึก “ความน่าสนใจในผลิตภัณฑ์และบริการ” ของทั้ง 5 บริษัท แรก ใน EP.1  นี้  วันนี้พบกับ Success Case ที่น่าสนใจของ 5 บริษัทที่ประสบความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน ซึ่งให้การรับรองโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. โดยในแต่ละบริษัทจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดบ้าง และมีความน่าสนใจอย่างไร สามารถติดตามได้ในบทความนี้ ความมุ่งมั่นของเราในบริการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน บริการด้าน BCG / Environment & Sustainable Consulting เราได้มุ่งมั่นพัฒนาบริการด้านต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าเสมอมา และได้เล็งเห็นในความสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่ต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสังคมไทย สังคมโลก FDI ได้เริ่มให้คำปรึกษาบริษัทต่าง ๆ โดยได้เริ่มการบริการในปี 2023 เป็นต้นมา ซึ่งได้ให้คำปรึกษาไปแล้วมากกว่า 60 บริษัท จำนวนโครงการมากกว่า 70 โครงการ ในปีที่ผ่านมา  ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มบริษัทที่กำลังอบรมภายใน […]

【セミナー案内】竹産業におけるカーボンネットゼロ経営

ขอเชิญชวนเข้าร่วมโครงการ การบริหารจัดการธุรกิจไผ่ไม้เศรษฐกิจชุมชน กับ Carbon Net zero.ภายใต้แผนงานวิจัย การจัดการความรู้และเพิ่มศักยภาพการจัดการเทคโนโลยีและธุรกิจไผ่ไม้เศรษฐกิจชุมชน งบประมาณสนับสนุนจาก วช.. วันที่ 7 สิงหาคม 2567 ณ PJ301 อาคาร ศาสตราจารย์ ประยูร จินดาประดิษฐ์ มหาวิทยาบูรพา จังหวัดชลบุรี. เปิดรับสมัครตั้งเเต่วันนี้ – 6 สิงหาคม พ.ศ 2567—————————–เข้าร่วมกิจกรรม ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายลงทะเบียน https://url.in.th/cDpgTกำหนดการ https://url.in.th/KVrJWเเผนที่สถานที่จัดงาน https://url.in.th/kzghW หากมีข้อสงสัยสอบถามได้เพิ่มเติมที่กองบริหารการวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยบูรพา โทร 038-102969)  FDI Accounting & Advisory ที่ปรึกษาทางธุรกิจอย่างครบวงวจร ง่าย ครบ จบ ในที่เดียว! 🩵 Facebook : FDI Group – Business Consulting 💚 Line : @fdigroup 📞 Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895 📧 E-mail : reception@fdi.co.th 🌐Website : www.fdi.co.th บทความที่เกี่ยวข้อง คู่มือ! การขึ้นทะเบียน โครงการคาร์บอนเครดิต FDI30/07/2024 ในยุคที่ปัญหาภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของทุกภาคส่วนทั่วโลก หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ… Read More เจาะลึกสถานการณ์ ตลาดคาร์บอนเครดิต ในปัจจุบัน FDI26/07/2024 ตลาดคาร์บอนเครดิต ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยเป็นกลไกที่อนุญาตให้ภาคธุรกิจและองค์กรต่างๆ… Read More ไขข้อสงสัย การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ทำงานอย่างไร ? FDI24/07/2024 ในยุคที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน กลไกหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ… Read More Load More

คู่มือ! การขึ้นทะเบียน โครงการคาร์บอนเครดิต อัพเดต 2025

ในยุคที่ปัญหาภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของทุกภาคส่วนทั่วโลก หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งเป็นหลักประกันที่แสดงถึงปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากโครงการต่างๆ การขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิตจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้โครงการเหล่านั้นได้รับการยอมรับในระดับสากลและสามารถนำคาร์บอนเครดิตไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม มาตรฐานที่สำคัญในการขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิต มาตรฐานสากล: CDM (Clean Development Mechanism): กลไกที่กำหนดขึ้นภายใต้พิธีสารเกียวโต เพื่อให้ประเทศพัฒนาแล้วสามารถลงทุนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศกำลังพัฒนา และได้รับคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ VCS (Verified Carbon Standard): มาตรฐานภาคเอกชนที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคสมัครใจ Gold Standard: มาตรฐานที่ให้ความสำคัญกับผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมนอกเหนือจากการลดก๊าซเรือนกระจก มาตรฐานในประเทศไทย: T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program): โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย ดำเนินการโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือองค์การอบก. เหตุผลที่ต้องขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิต การรับรองความน่าเชื่อถือ: การขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิตเป็นการยืนยันว่าโครงการนั้นได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ ทำให้โครงการได้รับความน่าเชื่อถือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้บริโภค การสร้างความโปร่งใส: กระบวนการขึ้นทะเบียนจะต้องมีการตรวจสอบและรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ทำให้สาธารณชนสามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและความสำเร็จของโครงการได้ การสร้างตลาดคาร์บอนเครดิต: การมีโครงการคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจำนวนมากจะช่วยสร้างตลาดคาร์บอนเครดิตที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เป็นธรรมและโปร่งใส การดึงดูดนักลงทุน: โครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตจะมีโอกาสดึงดูดนักลงทุนที่สนใจในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การสร้างแรงจูงใจในการลดก๊าซเรือนกระจก: การขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนและชุมชนต่างๆ พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน: การมีส่วนร่วมในโครงการคาร์บอนเครดิตเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนขององค์กรและประเทศชาติ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี: องค์กรที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตจะได้รับภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้บริโภคและสังคม ประโยชน์ของการขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิต สำหรับองค์กร: เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและคู่ค้า ลดต้นทุนในการดำเนินงาน สร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ๆ สำหรับประเทศ: ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ สร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ สร้างงานและรายได้ให้กับชุมชน ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิต โดยทั่วไป ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิตจะประกอบด้วย การพัฒนาโครงการ: กำหนดขอบเขตของโครงการ วิธีการลดก๊าซเรือนกระจก และเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ ตัวย่างโครงการคาร์บอนเครดิต! การประเมินโครงการ: ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินโครงการเพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้และความสอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนด การขึ้นทะเบียน: ยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการเพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ การตรวจสอบและติดตาม: หน่วยงานที่รับผิดชอบจะทำการตรวจสอบโครงการอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าโครงการยังคงดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ FDI Accounting and Advisory มุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจของคุณสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยบริการที่ปรึกษาสิ่งแวดล้อมครบวงจร ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามีประสบการณ์และความรู้เชิงลึกพร้อมช่วยคุณเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน บริการของเรา ให้คำปรึกษา BCG (Bio-Circular-Green Economy Business Model) บริการประเมิน และ จัดทำ Carbon Footprint and Carbon Credit บริการจัดเก็บข้อมูล Green House Gas Report รายเดือน และ วิเคราะห์ข้อมูล […]

カーボンクレジット市場の動向

ตลาดคาร์บอนเครดิต ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยเป็นกลไกที่อนุญาตให้ภาคธุรกิจและองค์กรต่างๆ สามารถชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการสนับสนุนโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในที่อื่นๆ ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของตลาดคาร์บอนเครดิตในปัจจุบันนั้นมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งในแง่ของกฎระเบียบ ความต้องการของตลาด และความท้าทายในการดำเนินงาน สถานการณ์ ตลาดคาร์บอนเครดิต ทั่วโลก การเติบโตอย่างรวดเร็ว: ตลาดคาร์บอนเครดิตมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ความต้องการของภาคธุรกิจในการสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการตระหนักรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายของโครงการ: โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่โครงการปลูกป่า โครงการพลังงานหมุนเวียน โครงการจัดการขยะ ไปจนถึงโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ซึ่งทำให้ตลาดคาร์บอนเครดิตมีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น มาตรฐานและการรับรอง: เพื่อให้มั่นใจว่าคาร์บอนเครดิตมีความน่าเชื่อถือ โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองจากองค์กรอิสระที่มีมาตรฐานสากล เช่น Verra, Gold Standard และ American Carbon Registry กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น: หลายประเทศทั่วโลกเริ่มบังคับใช้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าคาร์บอนเครดิตที่ซื้อขายกันนั้นมีคุณภาพและสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริง ความท้าทายด้านความโปร่งใส: แม้ว่าตลาดคาร์บอนเครดิตจะมีการเติบโต แต่ก็ยังคงมีความท้าทายด้านความโปร่งใสอยู่บ้าง เช่น การประเมินผลกระทบของโครงการ การป้องกันการนับซ้ำ และการหลีกเลี่ยงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ไม่ได้มาจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริง จุดเด่นของ ตลาดคาร์บอนเครดิต ไทย การเติบโตอย่างรวดเร็ว: ปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย โครงการ T-VER: เป็นระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของไทยที่ได้รับความนิยมและมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด ราคาคาร์บอนเครดิตที่ยังอยู่ในระดับต่ำ: เมื่อเทียบกับตลาดโลก ทำให้เป็นโอกาสสำหรับภาคธุรกิจไทยในการชดเชยคาร์บอนในต้นทุนที่ต่ำกว่า ปัจจัยที่น่าจับตามองในอนาคต การบังคับใช้กฎหมายและมาตรการส่งเสริม: หากมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ความต้องการของภาคธุรกิจ: ภาคธุรกิจที่มีความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเพิ่มปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิต การพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจก: การมีโครงการใหม่ๆ ที่ได้รับการรับรองจะช่วยเพิ่มปริมาณคาร์บอนเครดิตในตลาด การพัฒนานวัตกรรม: เทคโนโลยีบล็อกเชนและปัญญาประดิษฐ์มีศักยภาพในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของตลาดคาร์บอนเครดิต ความร่วมมือระหว่างประเทศ: การร่วมมือกันระหว่างประเทศในการกำหนดมาตรฐานและกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกัน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตให้เติบโตอย่างยั่งยืน FDI Accounting and Advisory มุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจของคุณสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยบริการที่ปรึกษาสิ่งแวดล้อมครบวงจร ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามีประสบการณ์และความรู้เชิงลึกพร้อมช่วยคุณเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน บริการของเรา ให้คำปรึกษา BCG (Bio-Circular-Green Economy Business Model) บริการประเมิน และ จัดทำ Carbon Footprint and Carbon Credit บริการจัดเก็บข้อมูล Green House Gas Report รายเดือน และ วิเคราะห์ข้อมูล ให้คำปรึกษาโครงการ BCG – ESG ระยะยาว บริการ Carbon Net Zero […]

カーボンクレジット取引とは

ในยุคที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน กลไกหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ “การซื้อขายคาร์บอนเครดิต” ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือทางการตลาดที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลดมลพิษทางอากาศอย่างเป็นรูปธรรม คาร์บอนเครดิต เปรียบเสมือนใบอนุญาตที่แสดงถึงสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1 หน่วย โดยหน่วยงานที่กำกับดูแลจะกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับแต่ละองค์กร องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าเพดานที่กำหนด จะมี “คาร์บอนเครดิตเหลือ” ซึ่งสามารถนำไป “ขาย” ให้กับองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินเพดาน กลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิต เปรียบเสมือนตลาดที่สร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก องค์กรที่มีประสิทธิภาพในการลดมลพิษสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ในขณะที่องค์กรที่ยังปล่อยมลพิษมากต้องซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชย ผลลัพธ์ที่ได้คือ มลพิษทางอากาศโดยรวมลดลง ระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิต มีทั้งแบบ “ภาคบังคับ” และ “ภาคสมัครใจ” ระบบภาคบังคับ: รัฐบาลกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับภาคธุรกิจ องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินเพดานต้องซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชย ตัวอย่างประเทศที่มีระบบภาคบังคับ เช่น สหภาพยุโรป สวิตเซอร์แลนด์ ระบบภาคสมัครใจ: องค์กรต่างๆ เข้าร่วมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมัครใจ องค์กรที่ลดมลพิษได้สามารถขายคาร์บอนเครดิตให้กับองค์กรอื่น ตัวอย่างประเทศที่มีระบบภาคสมัครใจ เช่น ประเทศไทย กลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิต การกำหนดเป้าหมาย: รัฐบาลกำหนดปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงสุดที่แต่ละภาคอุตสาหกรรมสามารถปล่อยได้ (โควต้า) การติดตาม: ผู้ประกอบการต้องติดตามและรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของตน การซื้อขาย: กรณีปล่อยเกินโควต้า: ผู้ประกอบการต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากผู้ที่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ กรณีปล่อยต่ำกว่าโควต้า: ผู้ประกอบการสามารถขายคาร์บอนเครดิตที่เหลือให้กับผู้ที่ต้องการ การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในประเทศไทยสามารถทำได้ผ่าน 2 ช่องทางหลัก ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตไทย (T-VER Platform): ตลาดกลางที่จัดตั้งโดย T-VER Board ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถลงทะเบียนและซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การซื้อขายแบบ Over-the-counter (OTC): ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงราคาและเงื่อนไขการซื้อขายกันเองโดยไม่ผ่านตลาดกลาง ตัวอย่างกลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิต สมมติว่า โรงงาน A ได้รับโควต้าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 100,000 ตันต่อปี แต่ในปีนั้น โรงงาน A ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จริง 120,000 ตัน โรงงาน A ต้องซื้อคาร์บอนเครดิต 20,000 หน่วยจากโรงงาน B ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จริง 80,000 ตัน โรงงาน B จะมีคาร์บอนเครดิตเหลือ 20,000 หน่วย ซึ่งสามารถนำไปขายให้กับโรงงานอื่นที่ต้องการได้ ประโยชน์ของการซื้อขายคาร์บอนเครดิต กระตุ้นให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สร้างรายได้: ผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพในการลดมลพิษสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ส่งเสริมเทคโนโลยีสะอาด: ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สร้างความเท่าเทียม: กลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิตช่วยให้ประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการลดมลพิษ ตัวอย่างโครงการที่สามารถสร้างคาร์บอนเครดิต ตัวอย่างโครงการคาร์บอนเครดิตที่สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้นั้นมีหลายหลายประเภทโครงการขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์ […]

製品の二酸化炭素排出量
(Carbon Footprint of Products : CFP)

ในยุคที่ปัญหาโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้น ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ ต่างให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products : CFP) จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ตลอดวัฏจักรชีวิต ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้ออย่างชาญฉลาด และกระตุ้นให้ผู้ผลิตพัฒนาสินค้าที่ยั่งยืน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ คืออะไร? คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products หรือ CFP) คือการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์หนึ่งหน่วย ตลอดวัฏจักรชีวิต ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน จนถึงการกำจัด โดยคำนวณออกมาเป็นหน่วยกรัม กิโลกรัม หรือตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ทำไมต้องคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์? เพื่อวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ทราบปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้น เข้าใจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด และระบุจุดที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เพื่อส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืน: กระตุ้นให้ผู้ผลิตพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างชาญฉลาด ส่งเสริมให้เกิดการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: หลายประเทศเริ่มมีกฎหมายและมาตรการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ธุรกิจที่คำนวณและลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะอยู่ในสถานะที่ดีกว่า ในการแข่งขันในตลาดโลก เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภค: ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำ ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อแสดงภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร: การคำนวณและเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อผู้บริโภค นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนกลยุทธ์: ข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรระบุจุดที่สามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน นำไปสู่การวางแผนกลยุทธ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ คำนวณอย่างไร? การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์นั้น ซับซ้อน  ประกอบด้วยหลายขั้นตอน พิจารณาตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ กระบวนการผลิต การขนส่ง การใช้งาน การบำรุงรักษา ไปจนถึงการกำจัด มาตรฐานสากล ที่ใช้สำหรับการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ คือ ISO 14067 1. การจัดหาวัตถุดิบ รวบรวมข้อมูลปริมาณและแหล่งที่มาของวัตถุดิบทั้งหมด ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการจัดหา การขนส่ง และการแปรรูปวัตถุดิบ ตัวอย่าง: การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการทำเหมืองแร่ การขนส่งโลหะทางไกล และการผลิตพลาสติก 2. การผลิต วิเคราะห์กระบวนการผลิตทั้งหมด รวมถึงพลังงานที่ใช้ วัสดุสิ้นเปลือง และขยะที่เกิดขึ้น ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเครื่องจักร เตาเผา และระบบทำความเย็น ตัวอย่าง: การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการหลอมโลหะ การพ่นสี และการประกอบชิ้นส่วน 3. การกระจายสินค้า พิจารณาการขนส่งสินค้าจากโรงงานไปยังคลังสินค้า ร้านค้า และผู้บริโภคปลายทาง ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และการกระจายสินค้าภายใน ตัวอย่าง: การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถบรรทุก เครื่องบิน […]

組織の二酸化炭素排出量を削減する 7 つの方法

ในยุคปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นประเด็นสำคัญที่องค์กรต่างๆ ทั่วโลกให้ความสนใจ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง องค์กรในฐานะผู้มีส่วนร่วมในสังคม จึงมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือที่เรียกว่า ” ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ” แนวทางการ ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ขององค์กร 1. การจัดการพลังงาน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงาน เช่น ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม ตรวจสอบและซ่อมแซมระบบไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้รับฉลากประหยัดพลังงาน เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ติดตั้งระบบตรวจวัดการใช้พลังงาน เพื่อติดตามและวิเคราะห์การใช้พลังงานขององค์กร 2. การจัดการการเดินทาง ส่งเสริมให้พนักงานใช้ระบบขนส่งสาธารณะ สนับสนุนให้พนักงานใช้จักรยานหรือเดิน จัดระบบการเดินทางร่วมกัน เปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือยานยนต์ไฮบริด ใช้ระบบประชุมทางไกล แทนการเดินทางไปประชุม 3. การจัดการขยะ ลดการเกิดขยะ ส่งเสริมให้พนักงานลดการใช้ของใช้สิ้นเปลือง คัดแยกขยะ แยกขยะรีไซเคิลออกจากขยะทั่วไป นำขยะไปรีไซเคิล นำขยะรีไซเคิลไปรีไซเคิล ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น 4. การจัดการน้ำ ลดการใช้น้ำ ปิดก๊อกน้ำเมื่อไม่ใช้งาน ซ่อมแซมท่อประปาที่รั่ว ใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ นำน้ำเสียไปบำบัด บำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ 5. การจัดซื้อจัดหา เลือกซื้อสินค้าจากผู้ผลิตที่มีนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อม เลือกซื้อสินค้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล เลือกซื้อสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์น้อย 6. การปลูกป่า ปลูกต้นไม้ บริเวณรอบสำนักงาน สนับสนุนโครงการปลูกป่า 7. การรณรงค์ให้ความรู้และสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน รณรงค์ให้พนักงานตระหนักถึงความสำคัญของการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับวิธีการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จัดกิจกรรมส่งเสริมการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ตัวอย่างองค์กรในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ บริษัท Unilever: บริษัท Unilever มุ่งมั่นที่จะ ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2039 องค์กรได้ดำเนินการหลายอย่าง เช่น เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ลดการใช้พลาสติก และส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน บริษัท Google: บริษัท Google มุ่งมั่นที่จะลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030 องค์กรได้ดำเนินการหลายอย่าง เช่น ซื้อพลังงานหมุนเวียน 100% ลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ บริษัท Microsoft: บริษัท Microsoft มุ่งมั่นที่จะลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030 องค์กรได้ดำเนินการหลายอย่าง เช่น […]

持続可能な組織を目指すための
二酸化炭素排出量計算マニュアル

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ องค์กรต่างๆ ทั่วโลกต่างตระหนักถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่องค์กรสามารถใช้เพื่อติดตามและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนคือ การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรในหน่วยคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรเข้าใจภาพรวมของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะช่วยองค์กรอย่างไร? เข้าใจภาพรวมของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ระบุแหล่งที่มาของการปล่อยมลพิษที่สำคัญ ตั้งเป้าหมายและกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ติดตามความคืบหน้าและวัดผลลัพธ์ สื่อสารความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้เสีย ส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น แนวทาง การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มาตรฐานสากลที่ใช้สำหรับการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์คือ ISO 14064 แนวทางนี้กำหนดกรอบการทำงานสำหรับการระบุขอบเขต การรวบรวมข้อมูล การคำนวณ และการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คู่มือ การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 1. กำหนดขอบเขต องค์กรต้องกำหนดขอบเขตการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ Scope 1: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงจากกิจกรรมขององค์กร เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงาน การใช้รถขนส่งขององค์กร Scope 2: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการซื้อพลังงานไฟฟ้า เช่น การซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย Scope 3: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากกิจกรรมอื่นๆ upstream และ downstream ขององค์กร เช่น การขนส่งวัตถุดิบ การจัดการขยะ การเดินทางของพนักงาน 2. รวบรวมข้อมูล องค์กรต้องรวบรวมข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ข้อมูลการใช้พลังงาน: ปริมาณการใช้ไฟฟ้า น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ ฯลฯ ข้อมูลการขนส่ง: ระยะทาง จำนวนเที่ยว ประเภทของยานพาหนะ ข้อมูลการจัดการขยะ: ปริมาณขยะ ประเภทของขยะ วิธีการกำจัดขยะ ข้อมูลการใช้วัตถุดิบ: ปริมาณ ประเภท แหล่งที่มา 3. คำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ องค์กรสามารถคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ด้วยตนเอง โดยใช้เครื่องมือคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ออนไลน์ หรือจ้างบริษัทที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ 4. วิเคราะห์ผล เมื่อได้ผลการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์แล้ว องค์กรต้องวิเคราะห์ผลเพื่อระบุแหล่งที่มาของมลพิษ แหล่งที่มาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด และหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5. ตั้งเป้าหมายและแผนลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ องค์กรต้องตั้งเป้าหมายการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ชัดเจน วัดผลได้ และท้าทาย พร้อมทั้งจัดทำแผนลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ครอบคลุม ระบุกลยุทธ์ กิจกรรม และกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ 6. ติดตามผลและทบทวน องค์กรต้องติดตามผลการดำเนินงานตามแผนลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ วัดผลประสิทธิภาพ และทบทวนแผนงานอยู่เสมอ ปรับปรุงแผนงานให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง องค์กรที่ยั่งยืน […]

【セミナーレポート】タイ中部地域 中小企業対象
「中小企業の温室効果ガス排出実質ゼロ(NET ZERO)の為の準備」

อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (สวทช.) ร่วมกับ บริษัท เอฟ ดี ไอ แอคเค้าติ้งค์ แอนด์ แอดไวซเซอร์รี่ จำกัด และ บริษัท โนวา กรีน เพาเวอร์ จำกัด ประสบความสำเร็จในการจัดงานสัมมนา “การเตรียมความพร้อม SME ไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)” ณ อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคกลาง จ.ชลบุรี เมื่อวันวันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา งานสัมมนาครั้งนี้ มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจ นำเสนอแนวทาง และโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ SME ในภาคเหนือ ในการปรับธุรกิจสู่เป้าหมาย Net Zero โดยได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามโดยภายในงานมีกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Carbon Net Zero 2065 และผลกระทบที่ SME ต้องเตรียมรับมือ” โดย คุณนันทพัชร ณ สงขลา ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กรและผู้ช่วยประธานบริหารกลุ่มบริษัท FDI เสวนาในหัวข้อ “ESG trend ความเสี่ยง หาก SME ไม่ปรับตัว” โดย คุณจริยวดี บุบผา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนวา กรีน เพาเวอร์ จำกัด พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางธุรกิจจาก ITAP โดย คุณอภิรักษ์ วิเศษศรีพงษ์ ผู้จัดการงาน อุตสาหกรรมวัสดุก้าวหน้า ฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) การให้คำปรึกษาเชิงลึกระยะสั้นกับผู้ประกอบการ SME ในการวิเคราะห์ความพร้อมขององค์กรในด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ผู้เข้าร่วมงานต่างให้ความพึงพอใจกับเนื้อหาสาระและกิจกรรมภายในงาน ตัวแทนจากธุรกิจ SME รายหนึ่งกล่าวว่า “งานสัมมนาครั้งนี้ให้ความรู้และแนวทางที่เป็นประโยชน์มาก ได้เข้าใจภาพรวมของ Net Zero มากขึ้น  และทราบแนวทางที่จะนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเอง” สามารถดาวน์โหลด ไฟล์ Carbon Net Zero 2065 และผลกระทบที่ SME ต้องเตรียมรับมือ โดย คุณนันทพัชร ณ สงขลา […]

カーボンクレジット プロジェクト例

คาร์บอนเครดิต เปรียบเสมือนใบอนุญาตที่แสดงถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บลงได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะออกใบอนุญาตนี้ให้กับโครงการที่ดำเนินการเพื่อลดมลพิษทางอากาศ โครงการคาร์บอนเครดิต มีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีเป้าหมาย วิธีการ และผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน บทความนี้มุ่งนำเสนอตัวอย่าง โครงการคาร์บอนเครดิต หลากหลายประเภท เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาและเข้าร่วมโครงการเหล่านี้ ประเภทของ โครงการคาร์บอนเครดิต 1. โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการประเภทนี้เป็นหนึ่งในโครงการคาร์บอนเครดิตที่มุ่งเน้นไปที่การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ ตัวอย่างโครงการ ได้แก่ การเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน: โครงการนี้ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ แทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน: โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การลดการใช้พลังงานโดยรวมขององค์กรหรือภาคครัวเรือน โครงการเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED โครงการติดตั้งระบบปรับอากาศประหยัดพลังงาน โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม การจัดการขยะ: โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การลดปริมาณก๊าซมีเทนที่ปล่อยออกมาจากการย่อยสลายขยะ โครงการคัดแยกขยะ โครงการรีไซเคิลขยะ โครงการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน โครงการผลิตปุ๋ยหมัก โครงการผลิตก๊าซชีวภาพ การปลูกป่า: โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โครงการปลูกป่าทดแทน โครงการปลูกป่าในพื้นที่เสื่อมโทรม โครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าชายเลน 2. โครงการกักเก็บคาร์บอน โครงการประเภทนี้มุ่งเน้นไปที่การดักจับและเก็บกักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ไม่ให้ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ตัวอย่างโครงการ ได้แก่ การรวมจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS): โครงการนี้ใช้เทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งกำเนิด เช่น โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม และนำไปกักเก็บไว้ใต้ดิน 3. โครงการตลาดคาร์บอน โครงการประเภทเป็ยอีกหนึ่งโครงการคาร์บอนเครดิตที่เป็นกลไกช่วยให้ผู้ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่ลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ตัวอย่างโครงการ ได้แก่ ระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิต: ระบบนี้เปิดให้ผู้ซื้อและผู้ขายคาร์บอนเครดิตสามารถทำธุรกรรมกันได้อย่างเสรี โครงการชดเชยคาร์บอน: องค์กรหรือบุคคลสามารถชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองโดยการซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่ลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจก โครงการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) ดำเนินการโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการที่ผ่านการรับรอง จะได้รับ “คาร์บอนเครดิต” สามารถนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือซื้อขายในตลาดคาร์บอน โครงการความร่วมมือเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยสมัครใจ (JCM) ดำเนินการโดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคส่วนต่างๆ โครงการที่ได้รับการรับรอง จะได้รับ “ใบรับรองการลดก๊าซเรือนกระจกแบบ JCM” สามารถนำไปขายในตลาดคาร์บอน หรือใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก FDI Accounting and Advisory มุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจของคุณสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยบริการที่ปรึกษาสิ่งแวดล้อมครบวงจร ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามีประสบการณ์และความรู้เชิงลึกพร้อมช่วยคุณเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน บริการของเรา ให้คำปรึกษา BCG (Bio-Circular-Green Economy Business Model) บริการประเมิน และ จัดทำ Carbon […]

1 2 3 5