見逃せないタイの役立つ情報

ทุนจดทะเบียนบริษัทมีความสำคัญ การวางกลยุทธ์และขั้นตอนที่ควรรู้มีอะไรบ้าง !!

ทุนจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทยนั้น เป็นส่วนสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจ เนื่องจากเป็นการแสดงถึงความสามารถทางการเงินของบริษัทและช่วยให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น การกำหนดทุนจดทะเบียนมีข้อกำหนดที่ชัดเจนตามประเภทของบริษัท และมีการควบคุมที่เข้มงวดเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างมีความสมดุลทางการเงิน ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับจำนวนทุนจดทะเบียนและพิจารณาให้รอบคอบตามลักษณะของกิจการที่ต้องการดำเนินการ ในบทความนี้ FDI จะพาทำความเข้าความเข้าใจมากขึ้นในเรื่องของทุนจดทะเบียน การเพิ่มทุนจดทะเบียน หรือข้อมูลสำคัญในการจดทะเบียนบริษัทด้านอื่น ๆ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด  ทุนจดทะเบียนมีความสำคัญต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง  สำหรับทุนจดทะเบียน เป็นจำนวนเงินทุนที่ผู้ถือหุ้น ตกลงกันว่าจะนำมาใช้ในการเริ่มต้นธุรกิจ โดยแสดงเป็นจำนวนเงินที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณฑ์สนธิ และหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท ซึ่งจะปรากฏต่อสาธารณชน โดยจะต้องแจ้งจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เงินทุนจำนวนนี้ บริษัทสามารถนำไปใช้ในการดำเนินงาน ลงทุน ขยายกิจการ หรือชำระหนี้สินได้ แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินและความสามารถของการขยายกิจการ ทุนจดทะเบียนที่สูงช่วยแสดงถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจและการชำระหนี้ ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทในสายตาของลูกค้าและผู้ลงทุน รวมถึงช่วยให้บริษัทมีเงินทุนเพียงพอในการซื้อสินทรัพย์และลงทุนในการขยายธุรกิจ กำหนดขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้นในกรณีที่บริษัทมีหนี้สิน ผู้ถือหุ้นจะรับผิดชอบชดใช้หนี้สิน แต่ไม่เกินจำนวนเงินที่ตนได้ลงทุนในบริษัท ใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อจากธนาคาร และเป็นพื้นฐานในการขอสินเชื่อ บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนสูงสามารถเพิ่มโอกาส ในการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงินได้ง่ายขึ้น  เนื่องจากธนาคารมักพิจารณาทุนจดทะเบียน ประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ ในการพิจารณาสินเชื่อ  แสดงการจัดการที่เป็นระบบ การมีทุนจดทะเบียนที่ชัดเจนช่วยให้ธุรกิจมีโครงสร้างการเงินที่ดีและสามารถวางแผนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อข้อกำหนดทางกฎหมาย  ทุนจดทะเบียนเป็นข้อกำหนดทางกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตามสำหรับการจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทย ซึ่งช่วยให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปตามกฎเกณฑ์และไม่เกิดปัญหาทางกฎหมายในภายหลัง ติดต่อ FDI ที่ @fdigroup   ขอรับคำปรึกษาเชิงลึกในการจดทะเบียนบริษัท กฏหมายระบุกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำไว้อย่างไร จะมีข้อแตกต่างและข้อกำหนดของแต่ละการจดทะเบียนต่างกันดังนี้  บริษัทจำกัด : ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 10 บาท โดยหุ้นสามัญต้องมีมูลค่า ไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 5 บาท และ ต้องมีผู้ถือหุ้น ไม่ต่ำกว่า 2 คน ห้างหุ้นส่วนจำกัด : ทุนจดทะเบียนไม่มีขั้นต่ำ แต่ต้องมีหุ้นส่วน ไม่ต่ำกว่า 2 คน ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล : ทุนจดทะเบียนไม่มีขั้นต่ำ แต่ต้องมีหุ้นส่วน ไม่ต่ำกว่า 2 คน บริษัทมหาชนจำกัด : ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 5 ล้านบาท หุ้นสามัญต้องมีมูลค่า ไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 10 บาท  และต้องมีผู้ถือหุ้น ไม่ต่ำกว่า 15 คน ปัจจัยในการวางกลยุทธ์เพื่อการจัดสรรทุนจดทะเบียน กลยุทธ์ในการจัดสรรทุนจดทะเบียนมีความสำคัญอย่างยื่ง เพราะมีผลต่อสภาพคล่องทางการเงิน การดำเนินธุรกิจ และภาพลักษณ์ของบริษัท ซึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณาเพื่อจัดสรรทุนจดทะเบียนให้เป็นไปอย่างมัประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพิจารณาได้ดังนี้  1. การกำหนดทุนจดทะเบียนให้เหมาะสมกับขนาดและประเภทของธุรกิจ ธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพ : ควรเริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียนที่พอดีกับการดำเนินธุรกิจ และควรจะมีเงินสำรองเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น ธุรกิจขนาดใหญ่ […]

ยอดขายหรือรายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาท ต้องยื่นภพ 30 หรือไม่ ? ยื่นแบบไหนได้บ้าง

ภพ 30 คืออะไร ? ใครมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภพ 30 คือ แบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ผู้ประกอบการหรือธุรกิจในประเทศไทยต้องยื่นต่อกรมสรรพากร เพื่อรายงานยอดขาย ยอดซื้อ และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน โดยภพ 30 จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับภาษีขายและภาษีซื้อ แต่ละแบบต่างกัน คือ  ภาษีขาย (Output VAT) คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจากลูกค้าจากการขายสินค้าและบริการ ภาษีซื้อ (Input VAT) คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายให้กับซัพพลายเออร์เมื่อซื้อสินค้าและบริการ ใครมีหน้าที่ต้องยื่นภพ 30 บ้าง ? ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Registered) ซึ่งได้แก่ ธุรกิจที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ผู้นำเข้าสินค้า  ที่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อสินค้าผ่านศุลกากร ผู้ประกอบการที่ให้บริการในต่างประเทศแต่ใช้ในประเทศไทย  เช่น การซื้อบริการโฆษณาออนไลน์จากต่างประเทศ กำหนดเวลาการยื่น ต้องยื่นภายในวันไหน  ภพ 30 ต้องยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป โดยสามารถยื่นได้ทั้งแบบ ออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร และ แบบกระดาษ ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่  การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในภพ 30 สอนวิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในภพ 30 พร้อมตัวอย่างการคำนวณที่เข้าใจง่าย วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในภพ 30การคำนวณ VAT ในภพ 30 จะพิจารณาจาก 2 ส่วนหลัก คือ ภาษีขาย (Output VAT) และ ภาษีซื้อ (Input VAT) โดยมีวิธีการคำนวณดังนี้  1. ภาษีขาย (Output VAT) คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อขายสินค้าและบริการ โดยคำนวณจาก 2. ภาษีซื้อ (Input VAT) คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จ่ายให้กับซัพพลายเออร์เมื่อซื้อสินค้าและบริการ โดยสามารถนำมาหักออกจากภาษีขายได้ 3. คำนวณภาษีที่ต้องชำระหรือขอคืน ภาษีที่ต้องชำระ = Output VAT − Input VAT หมายเหตุและข้อควรระวัง: สามารถใช้ […]

จากภาวะโลกร้อน สู่ภาวะโลกเดือด ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นวิกฤตของคนทั้งโลกต้องจับตา!

ภาวะโลกเดือดไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความร้อน” แต่เป็นวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับปัจเจกและระดับโลก ความรุนแรงนี้ทำให้การแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้อย่างรวดเร็วที่สุด ความรุนแรงจากภาวะโลกร้อนสู่ภาวะโลกเดือด ผลกระทบหนักต่อสิ่งมีชีวิตในหลากหลายมิติ “ภาวะโลกเดือด” เริ่มได้รับความสนใจเมื่อผู้นำหรือองค์กรระดับนานาชาติ เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) และนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ ใช้คำนี้เพื่อสร้างจุดสนใจให้เห็นถึงความรุนแรงของวิกฤตภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้น และกระตุ้นให้ทุกคนเร่งแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานหมุนเวียน คำนี้สะท้อนถึงความรุนแรงที่ไม่ใช่แค่ “ความร้อน” แต่ยังรวมถึงผลกระทบที่ครอบคลุมทุกด้านของชีวิตบนโลกใบนี้ หากไม่มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและมีประสิทธิภาพ ความรุนแรงที่เห็นได้ชัด จากวิกฤตไฟป่าแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา ข่าวร้ายต้นปี 2025 (7 ม.ค. 2568) คร่าชีวิตมนุษย์และสัตว์ เสียหายทางเศรษฐกิจราว 1.73 ล้านล้านบาท  ถือเป็นข่าวเศร้ารับต้นปีเลยทีเดียว กับสถานการณ์ไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา โดย BCC NEW ไทย ได้ให้ข้อมูลว่า มีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย และต้องอพยพประชาชนกว่า 1.37 แสนคน ออกจากพื้นที่ ขณะที่ต้องระดมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมากกว่า 1,400 คน ท่ามกลางอุปสรรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลมกระโชกแรง ความแห้งแล้งในพื้นที่ และขาดแคลนน้ำเพื่อนำมาช่วยดับเพลิง  มีพื้นที่ที่เกิดไฟป่าอย่างน้อย 7 แห่ง สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน พื้นที่เพราะปลูกอย่างมหาศาล  ปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟป่าใหญ่ครั้งนี้เกิดจากอะไร  ผลการวิจัยของรัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดไฟป่าครั้งนี้ กระแสลมที่พัดแรงและความแห้งแล้งเป็นสาเหตุหลักของไฟป่ากลางฤดูหนาว ทำให้ไม่สามารถควบคุมทิศทางของไฟได้ จนเกิดเหตุไม่คาดฝันที่คร่าชีวิตคน สัตว์พร้อมความเสียหายครั้งใหญ่นี้  ถอดบทเรียนอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ของวิกฤตที่ทวีความรุนแรงของภัยพิบัติธรรมชาติ !! ปัจจัยหลักอะไรบ้าง ที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกเดือด สาเหตุที่ทำให้วิกฤตภาวะโลกเดือดรุนแรงขึ้น ? จากปัจจัยด้านพฤติกรรมของมนุษย์ 1. การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions)  การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และก๊าซมีเทน (CH₄) ในปริมาณมหาศาล การทำปศุสัตว์ขนาดใหญ่เป็นแหล่งสำคัญของก๊าซมีเทน การตัดไม้ทำลายป่า ลดความสามารถของธรรมชาติในการดูดซับ CO₂ กระบวนการผลิตที่ไม่มีคุณภาพ ไม่สามารถควบคุมและจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้  1.1 วัฒนธรรมการบริโภคที่ไม่ยั่งยืน การบริโภคอาหารที่ไม่ยั่งยืนจากพฤติกรรมของมนุษย์ การบริโภคอาหารที่มาจากการผลิตที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การบริโภคเนื้อสัตว์จากฟาร์มที่มีการใช้ทรัพยากรในการผลิตสูง หรือการผลิตที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างสูง การสูญเสียและทิ้งอาหาร (food waste) ทั้งจากอุตสาหกรรมการผลิต และภาคครัวเรือน ซึ่งการทิ้งอาหารที่ยังสามารถบริโภคได้ หรือการบริโภคในปริมาณมากเกินไปโดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ  การซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยและการบริโภคการใช้แล้วทิ้ง […]

ที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และจัดทำรายงาน CFO CFP

FDI Group ที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และจัดทำรายงาน CFO CFP ให้คำปรึกษาธุรกิจทุกขั้นตอนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมในการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน  ทำไมธุรกิจถึงจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติในศตวรรษที่ 21 เพราะภาวะโลกเดือดในปัจจุบันเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างกว้างขวาง ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลเสียเพียงแต่มนุษยชาติแต่รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งหนึ่งในแนวทางสำคัญในการจัดการกับปัญหานี้ที่เป็นอีกประเด็นของทุกองค์กรควรจะทำ คือ การวัดและลด “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” (Carbon Footprint) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร ธุรกิจ หรือบุคคล การวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรสามารถระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซ และวางแผนกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยอย่างมีประสิทธิภาพ FDI Group ที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จึงกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนองค์กรให้ก้าวสู่ความยั่งยืน ผ่านการวางแผน การวิเคราะห์ และการพัฒนานโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ในบทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับความสำคัญของการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ บทบาทของที่ปรึกษา และแนวทางการทำงานของที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างละเอียด การจำแนกประเภทคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มีกี่แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร แบบที่ 1  CFO : Carbon Footprint for Organization การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร  ขอบเขตการประเมิน Carbon Footprint for Organization แบ่งออกเป็น 3 ขอบเขต คือ  ขอบเขตที่ 1 การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรโดยตรง (Direct Emissions) ที่องค์กรเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจในการควบคุม ตรวจสอบได้ ขอบเขตที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions)  ขอบเขตที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากกิจกรรมอื่นๆ (Other Indirect Emissions) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมอื่นๆ ที่อยู่นอกขอบเขตขององค์กร อ่านต่อ : โอกาสที่สำคัญ! ของการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร กุญแจสู่ความสำเร็จ แบบที่ 2  CFP : Carbon Footprint of Products การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ขอบเขตของการคำนวณตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การกระจายสินค้า การใช้งาน การจัดการหลังการใช้งาน  อ่านต่อ : คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ คำนวณอย่างไร? ความสำคัญและโอกาส ของการวัดและประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในปี 2025 ตอบสนองต่อข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ หลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ มีข้อกำหนดให้บริษัทต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น […]

การไปทำงานต่างประเทศแบบถูกกฏหมาย ต้องทำได้อย่างไร รู้ไว้ไม่โดนหลอก อะไรบ้างที่ต้องรู้ 2025 !

การไปทำงานต่างประเทศแบบถูกกฏหมาย สามารถไปได้โดยวิธีใดบ้าง สำหรับการที่คนไทยเลือกไปทำงานต่างประเทศมีหลายเหตุผลที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเป้าหมายส่วนบุคคลของแต่ละคน  ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโอกาสในการหาเงินและประสบการณ์ที่ดีกว่า การพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญ รวมถึงความฝันและการเริ่มต้นใหม่ในต่างแดน การไปทำงานต่างประเทศจึงเป็นทางเลือกที่คนไทยหลายคนใช้เพื่อให้ชีวิตมีความก้าวหน้าและเติมเต็มความต้องการต่าง ๆ ในชีวิต แต่การไปทำงานนั้น จำเป็นที่จะต้องไปแบบถูกกฏหมายทั้งในประเทศไทยและประเทศที่จะไปทำงาน เพื่อการให้ได้ซึ่งสิทธิประโยชน์ การคุ้มครองด้านต่างๆ ที่ครอบคลุม หากไปแล้วไม่ได้รับความปลอดภัย การกดขี่แรงงานหืองานไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้ ซึ่งจะมีรายละเอียดที่น่าติดตามอย่างไร FDI จะไขข้อสงสัยในบทความนี้  โดยการไปงานต่างประเทศแบบถูกกฏหมายนั้น สามารถทำได้ 5 วิธีด้วยกัน คือ  1.กรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่งไปทำงาน ในกรณีนี้ เป็นบริการของรัฐที่ส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ต้องเสียค่าบริการ นอกจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่จำเป็น เช่น ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าวีซ่า ค่าภาษี ค่าที่พักก่อนเดินทาง ค่าสมาชิกกองทุน รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาฐะอื่นๆ  2.บริษัทจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง  สามารถติดต่อได้ที่บริษัทจัดหางานที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน ต้องมีการเรียกเก็บค่าหัวตามกฏหมาย พร้อมออกใบเสร็จรับเงิน ต้องมีการเรียกเก็บเงินได้ไม่เกิน 30 วัน ก่อนเดินทาง ถ้าหากไม่ส่งไปทำงานตามกำหนด ต้องคืนเงินให้ทันที รวมถึงส่งคนงานไปทดสอบฝีมือแรงงาน ณ สถานที่ตามกำหนด และรายละเอียดอื่นๆ สอบถามได้ที่ 1506 กรมการจัดหางาน  3.เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง คนหางานติตต่อนายจ้างในต่างประเทศด้วยตนเองหรือคนงานที่ทำงานครบสัญญาจ้างแล้วได้ต่อสัญญาจ้าง เมื่อเดินทางกลับมายังประเทศไทย หากจะกลับไปทำงานอีก ต้องแจ้งต่อกรมการจัดหางานก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 15 วัน  4.นายจ้างในประเทศไทย เป็นผู้พาลูกจ้างไปทำงานต่างประเทศ กรณีคนไทยที่เป็นนายจ้างและลูกจ้างพาไปทำงานบริษัทในเครือที่ต่างประเทศ หรือ ประมูลงานในต่างประเทศได้ หรือจะส่งลูกจ้างไป ต้องแจ้งและขออนุญาตต่อกรมการจัดหางาน โดยยื่นเอกสารต่าง ๆ พร้อมยื่นขออนุญาตให้ถูกต้องทุกครั้ง  5.นายจ้างในประเทศไทยเป็นผู้ส่งลูกจ้างไปฝึกงาน  แบ่งเป็น 2 กรณี คือ  1.กรณีไม่เกิน 45 วัน  2.กรณีเกิน 45 วัน  โดยหากท่านใดสนใจจะไปทำงาน สามารถดูประเทศที่กรมจัดหางานกำลังเปิดรับและรายละเอียดได้ที่นี่ https://www.doe.go.th/overseas โครงการที่จัดส่งโดยภาครัฐ มีโครงการและประเทศใดบ้าง 1.โครงการจ้างตรง ประเทศไต้หวัน 2.โครงการ IM ประเทศญี่ปุ่น  3.โครงการ EPS สาธารณรัฐเกาหลี 4.โครงการ TIC ประเทศอิสราเอล  โครงการทำงานในต่างประเทศระยะสั้น โครงการทำงานในต่างประเทศระยะสั้นสำหรับคนไทยมีหลายโครงการที่เปิดโอกาสให้คนทำงานในต่างประเทศในระยะเวลาไม่ยาวนาน โดยทั่วไปแล้ว โครงการเหล่านี้จะเป็นโครงการที่เน้นการฝึกอบรม, การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม, หรือโครงการพิเศษที่มีระยะเวลาไม่เกิน 1-2 ปี 1. โครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม (Cultural Exchange Programs) […]

บริการที่ปรึกษาการจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยทีมวิศวกร FDI Group ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม

ที่ปรึกษาการจัดการก๊าซเรือนกระจกและการจัดการคาร์บอน ช่วยพัฒนากลยุทธ์อย่างยั่งยืน ให้คำปรึกษาพัฒนาธุรกิจที่สอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร  “เราให้บริการโดยมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์เชิงลึกในหลายอุตสาหกรรมที่กำลังดำเนินการและขึ้นทะเบียนไปแล้ว ในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นที่ปรึกษาในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ ตามแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. แล้ว “ FDI เราให้บริการตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร และการพัฒนาแนวทางโดยยึดหลักของ BCG – ESG แบบครบวงจร ตั้งแต่ด้านการอบรมภายใน เพื่อสร้างทักษะ ความรู้ ความเข้าใจ มีเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกันในองค์กร และการตั้งเป้าหมายสู่ Net Zero ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน SBTi และการจัดทำรายงานความยั่งยืนตามมาตรฐานของสากล เราพร้อมที่จะให้คำปรึกษาและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน  อีกหนึ่งบริการจาก เอฟ ดี ไอ กรุ๊ป ที่บริษัทต่างๆให้ความไว้วางใจใช้บริการ คือที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เรามีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ทางตรงในด้านวิศวกรรม ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในโครงการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อร่วมขับเคลื่อนตามนโยบายของภาครัฐในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emission บุคลากรของเราได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ปรึกษาโครงการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (CFP) และ ที่ปรึกษาโครงการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทีมวิศวกรสิ่งแวดล้อม FDI บริการด้าน BCG / Environment & Sustainable Consulting FDI ได้มุ่งมั่นพัฒนาบริการด้านต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าเสมอมา ในปีนี้ในโอกาสที่ก้าวเข้าสู่วาระครบรอบ 30 ปีของ FDI เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการให้ครอบคลุมในทุกมิติมากยิ่งขึ้นในอีกระดับ ปลดล็อกทุกศักยภาพของทุกธุรกิจให้เติบโตไปแบบก้าวกระโดดอย่างยั่งยืน เราเชื่อมั่นว่าทุกองค์กรที่ได้เริ่มจัดการการลดก๊าซเรือนกระจก ล้วนเล็งเห็นในความสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่ต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสังคมไทย สังคมโลก  FDI ได้เริ่มให้คำปรึกษาบริษัทต่าง ๆ โดยได้เริ่มการบริการด้านสิ่งแวดล้อม ในปี 2023 เป็นต้นมา ซึ่งได้ให้คำปรึกษาไปแล้วมากกว่า 60 บริษัท จำนวนโครงการมากกว่า 70 โครงการ ในปีที่ผ่านมา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มบริษัทที่กำลังอบรมภายใน เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 2.กลุ่มบริษัทที่กำลังอยู่ในขั้นตอนจัดเตรียมข้อมูล และประเมินในการขึ้นทะเบียน 3.กลุ่มบริษัทที่ได้รับการประเมินและขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นที่เรียบร้อย จากการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนขององค์กรและผลิตภัณฑ์ แสดงให้เห็นเจตนารมย์ที่ดีของทุกองค์กร และความรับผิดชอบต่อส่วนรวมโดยส่วนใหญ่ รวมถึงความมุ่งมั่นที่ต้องการทำเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง เราพร้อมให้คำปรึกษาในการวัดประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์ ครบจบในที่เดียว! […]

ESG Sustainability คืออะไร? ผสานรวมกับ AI เทคโนโลยีกับบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายของธุรกิจที่พัฒนาโดยยึดหลัก ESG ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance) การปรับใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) จึงได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรและสังคมสู่ความยั่งยืน AI ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย ESG ขององค์กรต่าง ๆ ได้อีกด้วย  ในบทความนี้  FDI จะพาทุกท่านไปติดตามเทคโนโลยี AI ที่ธุรกิจนำมาใช้พัฒนาด้านความยั่งยืน เพราะเป็นโอกาสใหม่ที่จะทำให้องค์กรของท่าน มีความได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิติใหม่ ! บทบาทของ AI ในการขับเคลื่อนร่วมกับ ESG Sustainability คืออะไร  สถานการณ์ธุรกิจในยุคปัจจุบัน การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เรื่องที่ทำเพียงเพื่อการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร แต่เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่จำเป็นจะต้องทำในการแสดงความรับผิดชอบจากการดำเนินธุรกิจ การวางกลยุทธ์เป้าหมาย โดยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงกำไรจากการดำเนินงานแต่ต้องสร้างผลกำไรเชิงบวกที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน โดยการต่อยอดจากโอกาสและรักษาคุณภาพมาตรฐานความยั่งยืนได้ด้วย ซึ่งหากพูดในระดับการปรับเปลี่ยนระบบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายอาจจะดูเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องปรับกันทั้งองค์กร แต่ในปัจจุบันหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีส่วนช่วยสำคัญในด้านนี้ก็คือการนำ AI เข้ามาใช้ ที่เราต่างทราบกันดีว่า AI สามารถคิด วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและคาดการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ไปจนถึง Generative AI ที่ใช้การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ในการสรรค์สร้างข้อมูลเนื้อหาใหม่ ๆ แบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้มนุษย์ในการคิด แต่ต้องใช้มนุษย์ป้อนคำสั่งแทน สามารถสร้างเนื้อหาได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ และอื่น ๆ จากข้อมูลที่ถูกป้อนเข้ามาในระบบ ความสามารถของ Generative AI เข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจได้ในหลาย ๆ ด้านมากขึ้น อาทิ การดึงข้อมูลประกอบการคำนวนปริมาณก๊าซเรือนกระจก ของภาคการผลิตที่มีหลายโรงงาน และมีหลายหน่วยผลิต เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่สะดวกรวดเร็ว และแม่นยำกว่าการใช้บุคคลากรจดบันทึกเป็นรายครั้ง อีกทั้งยังสามารถอัพเดทสถานะ การใช้พลังงาน หรือ ข้อมูลจากระบบต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ตามคำสั่งที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น การจัดการพลังงาน: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานในองค์กรและเสนอแนวทางเพื่อลดการบริโภคพลังงาน เช่น การปรับอุณหภูมิในอาคารให้เหมาะสม หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: AI ช่วยในการติดตามและคาดการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์และระบบ IoT (Internet of Things) เพื่อเสนอแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะ: AI ช่วยในการคัดแยกขยะอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพในการรีไซเคิล ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะที่ส่งไปฝังกลบ การประยุกต์ใช้ AI ด้านสิ่งแวดล้อม ในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน […]

เปรียบเทียบ visa work permit ของ 4 ประเทศสุดฮิต USA, UK, Australia, Japan ใครอยากไปทำงานต้องอ่าน!

เปรียบเทียบ Visa Work Permit กับ 4 ประเทศยอดนิยม ใครมีแพลนอยากไปทำงานต่างประเทศต้องอ่าน !  การทำงานในต่างประเทศเป็นความฝันของใครหลายคน ด้วยหลากหลายเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในชีวิต การเพิ่มทักษะทางอาชีพ หรือแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า  FDI  บริการให้คำปรึกษา ช่วยวางแผน ด้านการศึกษาต่อ และการทำงานในต่างประเทศ หากท่านใดกำลังต้องการข้อมูลเชิงลึก เทคนิค แนวทาง เราให้คำปรึกษาเบื้องต้น ในด้าน Visa & Work Permit เริ่มต้นราคาโปรโมชั่นเพียง 1,500 ฿ สามารถให้คำปรึกษาทั้งทาง Online หรือ Onsite ที่บริษัทได้ หากสนใจบริการนี้ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อทำนัดหมายได้ที่ @fdigroup แต่การจะทำงานในต่างประเทศได้ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการยื่นขอ Visa และ Work Permit ซึ่งในแต่ละประเทศนั้น จะมีกฎเกณฑ์และขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไป โดยในบทความนี้ได้รวบรวมและเปรียบเทียบข้อมูลที่สำคัญของ Visa Work Permit ใน 4 ประเทศยอดนิยม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (USA), สหราชอาณาจักร (UK), ออสเตรเลีย (Australia) และ ญี่ปุ่น (Japan) หากใครที่กำลังมีเป้าหมายอยากไปทำงานในประเทศเหล่านี้ ต้องห้ามพลาด !  อ่านต่อ !! บริการให้คำปรึกษาขอใบอนุญาต FBL ชาวต่างชาติมาทำงานในไทย  อ่านต่อ !! บริการให้คำปรึกษาการขอ Visa & Work Permit ถ้าหากใครที่กำลังมองหาโอกาสในการไปทำงานที่ต่างประเทศ ในการตามหาความฝัน เป้าหมายในชีวิต เราเชื่อว่าจะเป็นโอกาสที่ดีอีกขั้นในการเติบโต ซึ่งการไปทำงานในต่างแดนนั้นก็จะมีข้อดีและข้อเสีย แต่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาในหลากหลายเหตุผลร่วมด้วยเช่นเดียวกัน  ข้อดีการไปทำงานในต่างประเทศ  ได้ทำงานในบริษัทระดับโลก หรือระดับนานาชาติ ค่าตอบแทนสูง รวมถึงสวัสดิการต่างๆ คุ้มค่ามากกว่าไทย ประสบการณ์ในชีวิตและโอกาสในการเรียนรู้ระบบงาน วัฒนธรรมต่างแดน  ข้อเสียการไปทำงานในต่างประเทศ  ต้องมีการเตรียมตัวและวางแผนล่วงหน้าในระยะเวลาที่นาน ต้องห่างไกลจากครอบครัว ญาติพี่น้อง สภาพแวดล้อม สภาพอากาศที่แตกต่างจากที่เคยใช้ชีวิต เจาะข้อมูล VISA รายละเอียดในแต่ละประเทศ 1. สหรัฐอเมริกา (USA) สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีโอกาสทางอาชีพมากมาย โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยี การเงิน […]

SUCCESS CASE カーボンラベル登録および組織と製品のカーボンフットプリント認証 [EP.1]

Success Case Carbon Footprint Label รอบขึ้นทะเบียนในปี 2567  ในการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนรับเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์ จากบริการด้าน BCG / Environment & Sustainable Consulting ของ FDI Group ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับองค์กรต่างๆ ในความสำเร็จที่เกิดขึ้นในโอกาสอันสำคัญนี้ ของการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์  จากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อมวลมนุษยชาติทั่วโลก โดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจากความสำคัญของปัญหาดังกล่าวทำให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน โดยตั้งเป้าหมายร่วมกันในการลด บรรเทาความรุนแรงทางสภาพภูมิอากาศ มีวัตถุประสงค์หลักร่วมกัน คือการเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์  โดยออกมาตรการที่สำคัญ นโยบายในการร่วมมือกันเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม “ประเทศไทยตั้งเป้าหมาย Carbon Neutality ภายในปี 2050 และจะพัฒนาสู่ Carbon Net Zero ภายในปี 2065 จากกรอบนโยบายที่ตั้งเป้าหมายไว้ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากขาดความร่วมมือของทุกภาคส่วนภายในประเทศ “ พบกับ 5 บริษัทที่ FDI ให้บริการให้คำปรึกษา ซึ่งในแต่ละบริษัทจะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้างนั้น ติดตามกันต่อได้ในบทความนี้  เจาะลึก “ความน่าสนใจในผลิตภัณฑ์และบริการ” ของทั้ง 5 บริษัท แรก ใน EP.1  นี้  วันนี้พบกับ Success Case ที่น่าสนใจของ 5 บริษัทที่ประสบความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน ซึ่งให้การรับรองโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. โดยในแต่ละบริษัทจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดบ้าง และมีความน่าสนใจอย่างไร สามารถติดตามได้ในบทความนี้ ความมุ่งมั่นของเราในบริการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน บริการด้าน BCG / Environment & Sustainable Consulting เราได้มุ่งมั่นพัฒนาบริการด้านต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าเสมอมา และได้เล็งเห็นในความสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่ต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสังคมไทย สังคมโลก FDI ได้เริ่มให้คำปรึกษาบริษัทต่าง ๆ โดยได้เริ่มการบริการในปี 2023 เป็นต้นมา ซึ่งได้ให้คำปรึกษาไปแล้วมากกว่า 60 บริษัท จำนวนโครงการมากกว่า 70 โครงการ ในปีที่ผ่านมา  ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มบริษัทที่กำลังอบรมภายใน […]

雇用主または事業者が知っておくべきこと E-Workpermit 外国人労働者の電子ワークパーミットシステム

E – Work Permit คืออะไร นายจ้าง/สถานประกอบการต้องรู้ E-Workpermit ในประเทศไทยคือระบบการขอใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งพัฒนาโดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแรงงานต่างด้าวและนายจ้าง ลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกในการยื่นคำร้องและติดตามสถานะใบอนุญาตทำงาน ระบบนี้ช่วยให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบ E-Workpermit นี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดขั้นตอนที่ซับซ้อนในการขอใบอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย รวมคู่มือการยื่นคำขอใบอนุญาตทำงาน การต่ออายุใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมติ คณะรัฐมนตรี ประกาศ วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 คู่มือการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว (บต.50 อ.5) ในไฟล์นี้รวบรวมขั้นตอนการใช้งานระบบทุกขั้นตอน บต.50 อ.5 วิธีการยื่นคำขอ จนถึงขั้นตอนการจัดการชำระเงิน และ แนะนำวิธีการนำภาพถ่ายแปลงเป็นไฟล์ pdf สำหรับนายจ้าง / สถานประกอบการ ฉบับปรับปรุง 18/12/66 สำหรับบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ ฉบับปรับปรุง 18/12/66 สามารถเข้าใช้งานได้ที่ : คู่มือการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว (บต.50 อ.5) คู่มือการยื่นคำขอ บต.50 (มติ 3 ต.ค. 66) ในไฟล์นี้รวบรวมขั้นตอนการใช้งานระบบทุกขั้นตอนการยื่นคำขอ บต.50 วิธีการยื่นคำขอ จนถึงขั้นตอนการจัดการชำระเงิน และ แนะนำวิธีการนำภาพถ่ายแปลงเป็นไฟล์ pdf สำหรับนายจ้าง / สถานประกอบการ ฉบับปรับปรุง 21/11/66 สำหรับบริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ ฉบับปรับปรุง 21/11/66 ขอขอบคุณข้อมูลจาก : กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน  ข้อมูลด้านอื่น ๆ ที่นายจ้าง/แรงงาน และสถานประกอบการจำเป็นต้องรู้  การทำ MOU ของแรงงานต่างด้าว คืออะไร  การทำ MOU หรือ Memorandum of Understanding เป็นเงื่อนไขสัญญาระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ภายใต้บันทึกข้อตกลง MOU ระหว่างรัฐบาลประเทศไทยกับประเทศต้นทาง ลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งในมติการลงนาม MOU ระหว่างประเทศไทยและทั้ง 4 ประเทศ จะเกิดขึ้นแตกต่างกันตามเงื่อนไข ดังนี้ ประเทศลาว ลงนาม MOU ด้านการจ้างแรงงาน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม […]

1 2 3 17