หลังจดทะเบียนบริษัทแล้ว เจ้าของธุรกิจจะต้องทำบัญชี – ภาษีอย่างไร ?

หลังจดทะเบียนบริษัทแล้ว เจ้าของธุรกิจจะต้องทำบัญชี – ภาษีอย่างไร ?

ทำไมผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจต้องทำบัญชีบริษัทและยื่นภาษี ไม่ทำได้หรือไม่ ?

ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง บริษัทนิติบุคคลทุกแห่งมีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีและงบการเงินประจำปีโดยผู้ทำบัญชีที่ขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) การละเลยอาจนำไปสู่โทษปรับและการเสียค่าปรับย้อนหลัง

นอกจากเรื่องกฎหมายแล้ว การทำบัญชีอย่างถูกต้องยังให้ประโยชน์มากมาย เช่น

  • มองเห็นฐานะการเงินและกระแสเงินสดที่แท้จริง
  • ใช้ข้อมูลเป็นฐานการวางกลยุทธ์และตัดสินใจทางธุรกิจ
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือเมื่อยื่นกู้หรือติดต่อกับนักลงทุน

อีกทั้งการทำบัญชีบริษัทเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่เจ้าของธุรกิจทุกคนต้องให้ความใส่ใจ เพราะไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับ การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการทางการเงิน การวางแผนภาษี และการสร้างความโปร่งใสที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่องค์กร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนระบบบัญชีนิติบุคคลและภาษี บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่เจ้าของกิจการควรรู้ ซึ่งรวมเอาข้อควรรู้ คำแนะนำ เพื่อให้เจ้าของกิจการมือใหม่ มีความเข้าใจในการทำบัญชีบริษัทได้มากยิ่งขึ้น 

ทำความรู้จักภาษีที่นิติบุคคลต้องดำเนินการ

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax): บริษัทต้องหักภาษีเมื่อจ่ายเงินค่าบริการ ค่าเช่า ค่าจ้าง ค่าบริการและนำส่งกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (แบบ ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53)

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) และยื่นแบบ ภ.พ.30 รายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป สำหรับกรณีที่มีการขายสินค้าหรือบริการไปต่างประเทศ ต้องทำการยื่นแบบ ภ.พ. 36 

Corporate income tax: ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 (ครึ่งปี) และ ภ.ง.ด.50 (สิ้นปี) พร้อมงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) ตรวจสอบแล้ว โเดยเป็นการเสียภาษีจาก กำไรสุทธิของกิจการ อัตราภาษีทั่วไปสูงสุด 20% ของกำไรสุทธิ ในกรณีที่กำไรสุทธิมากกว่า 3,000,000 ขึ้นไป (ยกเว้นกิจการ SME ที่มีสิทธิอัตราภาษีลดหย่อนตามเกณฑ์ของกรมสรรพากร)

ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์: ใช้กับบางธุรกิจ เช่น ธุรกิจธนาคาร การเงิน สินเชื่อ การรับจำนำ ขึ้นกับลักษณะธุรกิจ เช่น สัญญากู้ยืมหรือธุรกิจการเงิน โดยจะเสียภาษีตามอัตราที่กำหนดแทนภาษีมูลค่าเพิ่ม 

ภาษีนำเข้า–ส่งออก (ถ้ามี)

  • หากบริษัททำธุรกิจนำเข้า–ส่งออก ต้องปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากร
  • เสียภาษีศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่มนำเข้า พร้อมค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง

ที่มา: Revenue Department

 

แนะนำขั้นตอนการวางแผนระบบบัญชีบริษัท

สำหรับการวางแผนระบบบัญชีและภาษีของบริษัทมี 6 ขั้นตอนหลักในเบื้องต้น ที่อาจจะแตกต่างกันออกไปตามโครงสร้างบริษัท และแต่ละธุรกิจ บริการ โดยเริ่มตั้งแต่การกำหนดวัตถุประสงค์ การสร้างโครงสร้างบัญชี การเลือกซอฟต์แวร์ การควบคุมเอกสาร การจัดการภาษีรายเดือน–รายปี ไปจนถึงการวางแผนภาษีและการปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง หากเจ้าของธุรกิจดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้ครบถ้วน จะทำให้บริษัท สามารถปฏิบัติตามข้อกฎหมาย ช่วยลดความเสี่ยงทางด้านการเงิน ความโปร่งใส และช่วยให้การบริหารกิจการเป็นไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น

1.โดยเริ่มต้นจากการกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดและเป้าหมายของระบบบัญชีบริษัท

ต้องสามารถตอบให้ได้ว่าทำไมต้องทำ  เพื่อให้ระบบบัญชีตอบโจทย์ธุรกิจ ตรงกับวัตถุประสงค์ย่อยอื่นๆ เพิ่มเติมมากขึ้น เช่น การควบคุมต้นทุน, การรายงานเพื่อยื่นภาษี, การวิเคราะห์กำไร–ขาดทุน 

2.ออกแบบและจัดทำโครงสร้างบัญชี (Chart of Accounts)

โดยอาจจะเริ่มจากโครงสร้างง่าย ๆ และค่อยปรับให้ละเอียดขึ้นเมื่อธุรกิจเติบโต ซึ่งโครงสร้างบัญชีเป็นเหมือน “ผังรหัสบัญชี” สำหรับจัดหมวดหมู่รายรับ–รายจ่าย โดยที่แบ่งเป็น 5 หมวดหลัก: สินทรัพย์, หนี้สิน, ทุน, รายได้, ค่าใช้จ่าย 

3.เลือกวิธีทำบัญชี รวมถึงการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการทำงาน

ไม่ว่าจะเป็นการใช้บัญชีคู่ (Double Entry) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล การใช้ซอฟต์แวร์บัญชีออนไลน์ ที่สามารถใช้งานได้ง่าย โดยเฉพาะรูปแบบโปรแกรมที่ออกแบบมาสำหรับ SME ซึ่งจะช่วยลดงานเอกสารได้มาก

4.วางระบบการจัดเก็บเอกสารให้ง่ายและเป็นระเบียบมากที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเอกสารสำคัญ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบสำคัญจ่าย ซึ่งต้องเก็บอย่างน้อย 5 ปี ตามกฎหมายภาษี 

5.วางระบบควบคุมเงินสดและบัญชีธนาคาร 

เจ้าของธุรกิจต้องแยกบัญชี ส่วนตัว ออกจาก บัญชีบริษัท อย่างเด็ดขาด ในแต่ละธุรกรรม ควรผ่านบัญชีธนาคารบริษัทเพื่อตรวจสอบง่าย และมีการทำรายงานกระแสเงินสด (Cash Flow) ของทุกเดือน 

6.มีบุคคลากรที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับด้านบัญชีและภาษี หรือใช้บริการที่ปรึกษาระบบบัญชีและวางแผนภาษี 

เพื่อให้การดำเนินงานนั้นเป็นไปอย่างครบถ้วน ถูกต้อง ช่วยลดความเสี่ยงและให้คำแนะนำเรื่องการวางแผนภาษีให้ครอบคลุมมากขึ้น 

โดยขั้นตอนต่าง ๆ เป็นคำแนะนำเบื้องต้น ซึ่งแต่ละกิจการ ควรศึกษารายละเอียด หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ให้การดำเนินงานนั้นเป็นไปรวดเร็ว เป็นระบบมากขึ้น

ข้อดีของการวางระบบบัญชีและการวางแผนภาษี 

1. เป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย และลดความเสี่ยงจากการถูกปรับ

การทำบัญชีและภาษีถูกต้องตาม พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 และกฎหมายสรรพากร ช่วยให้บริษัทไม่เสี่ยงต่อค่าปรับหรือดอกเบี้ยกรณีส่งเอกสารล่าช้า อีกทั้งยังลดความกังวลเรื่องการตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐอีกด้วย

2.ช่วยในการควบคุมและตรวจสอบสถานะทางการเงินของกิจการได้ง่ายขึ้น

ระบบบัญชีที่เป็นระเบียบ ทำให้เจ้าของธุรกิจตรวจสอบรายรับ–รายจ่ายได้อย่างชัดเจน มองเห็นการเคลื่อนไหวของเงินสด ต้นทุน และกำไรในแต่ละเดือน จึงช่วยลดความผิดพลาดและการรั่วไหลทางการเงิน

3.ช่วยให้การวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อมีข้อมูลทางบัญชีที่ถูกต้อง ธุรกิจสามารถวางแผนภาษีได้ เช่น การใช้สิทธิประโยชน์จากค่าใช้จ่ายที่หักลดหย่อน การวางแผนลงทุนเพื่อใช้สิทธิยกเว้นภาษี (เช่น BOI หรือ R&D) ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนทางภาษีในระยะยาว 

4.สนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ และเป็นรายงาน ข้อมูลที่สำคัญให้ผู้บริหาร

ข้อมูลบัญชีที่ถูกต้องเปรียบเสมือน “กระจกสะท้อนธุรกิจ” เจ้าของกิจการสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้วิเคราะห์สถานะทางการเงิน วางแผนลงทุน ควบคุมต้นทุน และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้แม่นยำกว่าเดิม รวมถึงการนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์นี้นำไปวางแผนในการขยายกิจการได้อีกด้วย 

5.ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือกับคู่ค้าและสถาบันการเงิน

งบการเงินที่จัดทำถูกต้องและผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี (CPA) ทำให้คู่ค้า นักลงทุน และธนาคารมั่นใจในการร่วมธุรกิจหรือการพิจารณาสินเชื่อ เพราะมองเห็นความโปร่งใสและความมั่นคงทางการเงินของบริษัท

 

 

In summary,การวางระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง ไม่ได้เป็นแค่เรื่อง “หน้าที่ตามกฎหมาย” เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารธุรกิจ ตั้งแต่การควบคุมต้นทุน วางแผนภาษี ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ไปจนถึงการสร้างความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนในอนาคต 

หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นหรือกำลังขยายธุรกิจ การวางระบบบัญชีและภาษีถือเป็นสิ่งที่ ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะช่วยให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังทำให้การบริหารการเงินโปร่งใส วางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบ คุณสามารถเลือกทำเองได้หากมีความรู้ด้านบัญชีเบื้องต้น แต่หากต้องการความมั่นใจและประหยัดเวลา การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่าง As an environmental and sustainability consultant, จะช่วยให้คุณได้ระบบที่เหมาะสมกับธุรกิจ และเติบโตอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น

ติดต่อเรา เพื่อปรึกษาระบบบัญชีและภาษี ฟรี!

  • Facebook : FDI Group – Business Consulting
  • @fdigroup
  • Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
  • E-mail : infojob@fdi.co.th
  • Website : www.fdi.co.th