Carbon Label คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไรต่อนโยบายการขับเคลื่อนสู่ Net Zero
carbon label คืออะไร ?
ฉลากคาร์บอน (Carbon Label) เป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) ที่เกิดขึ้นในตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้า (Life Cycle Assessment: LCA) ตั้งแต่การผลิต การขนส่ง การใช้งาน ไปจนถึงการกำจัดซากหรือการรีไซเคิล ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยในประเทศไทยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เป็นผู้ดูแล ซึ่งสามารถติดฉลากคาร์บอนในผลิตภัณฑ์ได้ เพื่อแสดงถึงเจตจำนงในการเป็นสินค้ารักษ์โลก มีส่วนร่วมที่สำคัญในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริง
จุดเริ่มต้นที่มาของฉลากคาร์บอนมาจากไหน
ที่มาของฉลากคาร์บอน จุดเริ่มต้นแรกที่มานั้น มาจากองค์กร Carbon Trust จากสหราชอาณาจักร เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดและเปิดตัว Carbon Reduction Label ครั้งแรกในปี 2006 ตามด้วยมาตรฐาน PAS 2050 ที่เป็นกรอบทางเทคนิค ซึ่งถือว่าเป็นฉลากคาร์บอนฉบับแรกของโลก ฉลากนี้เน้นบอก “ปริมาณคาร์บอนที่ฝังอยู่ในผลิตภัณฑ์” และกำหนดว่าสินค้าที่ได้รับฉลากต้องมีการลดการปล่อยคาร์บอนจริง มิฉะนั้นจะถูกเพิกถอนสิทธิ์
ในส่วนของมาตรฐาน PAS 2050 จาก BSI หลังจากเริ่มใช้ฉลาก Carbon Track ได้ร่วมมือกับหน่วยงานคุณภาพอื่น ๆ เพื่อนิยามมาตรฐานการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์จนเกิด PAS 2050 โดย British Standards Institution (BSI) ซึ่งเป็นกรอบมาตรฐานสากลในการวัด CO₂ ของผลิตภัณฑ์ทั้งวงจรชีวิต และได้ขยายไปยังกลุ่มประเทศต่าง ๆ ที่มีการใช้แนวคิดนี้ที่ใกล้เคียงกัน อย่าง ญี่ปุ่น เปิดตัวระบบฉลาก Carbon Footprint of Product (CFP) ในปี 2012 และต่อยอดเป็นโครงการ SuMPO Environmental Label ในปี 2022 หรือ จีน นำร่องฉลาก Carbon Footprint ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าในปี 2018 และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และในประเทศไทยเริ่มพัฒนาเกณฑ์การขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 (ค.ศ. 2009) โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ร่วมกับ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และเริ่มมีการดำเนินงานจริงจังภายใต้ความร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเท็ค) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ต่อเนื่องมาจนถึงในปัจจุบัน ซึ่งไทยนั้นถือว่าเป็นผู้นำในอาเซียนเรื่องฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกที่ใช้ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์
carbon label มีความสำคัญอย่างไร ต่อนโยบายการขับเคลื่อนสู่ Net Zero
การเดินหน้าเข้าสู่ เป้าหมาย Net Zero ซึ่งหมายถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์นั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ด้วยเพียงนโยบายจากภาครัฐหรือการลงทุนด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องอาศัย “เครื่องมือทางพฤติกรรม” ที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภค และกระบวนการกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในเครื่องมือที่กำลังแสดงบทบาทสำคัญในประเทศไทยคือ “ฉลากคาร์บอน” (Carbon Label)
ฉลากคาร์บอน คือ ฉลากที่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ ได้มีการแสดงปริมาณการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสินค้าในแต่ละหน่วย มีการกำกับจัดการดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ลดน้อยลง ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ดีมากขึ้น ด้วยเทรนด์และพฤติกรรมที่คนต่างให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน ในขณะที่ภาคธุรกิจเองก็ได้รับแรงจูงใจในการปรับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งฉลากนี้ กล่าวคือเป็นการสร้างโอกาสที่สอดรับกับเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค สอดรับกับนโยบายภาครัฐและคู่ค้า สามารถลดภาระต้นทุนในระยะยาว ลดการใช้พลังงานในจุดสิ้นเปลืองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญเลยก็คือเราทุกคนต่างคือ สิ่งมีชีวิตที่ต้องการอากาศที่ดี การเป็นอยู่ของชีวิตที่ดี มีความปลอดภัยสูง การรับผิดชอบต่อสังคมคือสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงเป็นสำคัญ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าโดยเฉพาะเมื่อโลกกำลังมุ่งหน้าสู่มาตรการกำกับการปล่อยคาร์บอนในระดับการค้าสำหรับสินค้าที่มีการส่งออก เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป ในขณะนี้ หรือมาตรการปรับคาร์บอนในภูมิภาคอื่น ๆ ที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า
ในระดับนโยบายของไทย การส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการ Carbon Label เป็นหนึ่งในแผนปฏิบัติการที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ Climate Action Roadmap ของประเทศ โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 40 ภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 ซึ่งฉลากคาร์บอนไม่เพียงแค่ช่วย “รายงาน” ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังทำหน้าที่เป็น “ตัวกระตุ้น” ในการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ
ในท้ายที่สุด การที่องค์กรต่าง ๆ เริ่มติดฉลากคาร์บอนบนผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่แค่การแสดงข้อมูล แต่เป็นการประกาศความพร้อม แสดงเจตนานโยบายที่ชัดเจนในการรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน มีบทบาทที่สำคัญในการสร้างจิตสำนึกที่นำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งในระดับบุคคลและองค์กร ส่งผลทางอ้อมให้ผู้บริโภคเกิดความตระหนักรู้ในเชิงพฤติกรรม ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนในทุกภาคส่วน
รายละเอียดฉลากคาร์บอนในไทยมีอะไรบ้าง ?
ยกตัวอย่าง ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในประเทศไทย ที่คุณควรรู้จัก !
1.ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint for Product)
เป็นฉลากที่เราพบได้บนสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่แสดงถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการผลิตผลิตภัณฑ์นั้น ๆ เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคทราบว่าผลิตภัณฑ์มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่าใด และกระตุ้นให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีหน่วยการวัดคือ กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO₂e) โดยจะคำนวณตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ จนเข้าสู่กระบวนการผลิต การขนส่ง การนำไปใช้ และการกำจัดซากผลิตภัณฑ์ (end of life) หรือที่เรียกว่าการประเมิน วัฏจักรชีวิต – Life Cycle Assessment: LCA และฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์มีอายุการรับรองฉลากเป็นเวลา 3 ปี นับจากวันที่ อบก. ออกหนังสือรับรอง แต่หากผลิตภัณฑ์มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบ กระบวนการผลิต หรือซัพพลายเชนที่สำคัญ จำเป็นต้องยื่นประเมินใหม่ก่อนครบอายุ
2.ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization)
เป็นการประเมินและแสดงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในกิจกรรมทั้งหมดขององค์กรในช่วงระยะเวลา 1 ปี โดยพิจารณาจาก 3 ส่วนหลัก คือ (1) ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (Direct Emission) เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง การขนส่งจากยานพาหนะขององค์กร เป็นต้น (2) ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Energy Indirect Emissions) เช่น การซื้อพลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน พลังงานไอน้ำ เป็นต้น และ (3) การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อมด้านอื่น ๆ เช่น การเดินทางของพนักงานด้วยพาหนะที่ไม่ใช่ขององค์กร การใช้วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร มีอายุการรับรองเป็นระยะเวลา 1 ปี ต้องต่ออายุทุกปี เนื่องจากเป็นการประเมินตามรอบปี (Yearly basis) และต้องอัปเดตข้อมูลการปล่อยใหม่ทุกปีนั่นเอง
3.ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ หรือ ฉลากลดโลกร้อน
คือ ฉลากที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) อยู่ก่อนแล้ว (ค่าฐาน – Baseline) และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งเป็นการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ โดยเปรียบเทียบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ในปีปัจจุบันกับปีฐาน หากสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ อย่างน้อย 2% ขึ้นไป จากค่าฐาน จะได้รับการรับรองฉลากลดโลกร้อน ซึ่งจะต้อง ตรวจประเมิน(Verification) โดยหน่วยตรวจที่ อบก. รับรอง ก่อนส่งคำขอ โดยฉลากลดโลกร้อนนี้ จะมีอายุการรับรอง 2 ปี
4.ฉลากคูลโหมด (Cool Mode)
เป็นฉลากที่ออกให้กับเสื้อผ้า หรือ ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถสวมใส่ได้อย่างสบาย ระบายความร้อนได้ดี รองรับการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการลดการใช้ไฟฟ้าลง เพราะการสวมใส่เสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติ “คูลโหมด” ช่วยให้ผู้ใช้สามารถอยู่ในอุณหภูมิที่สูงขึ้นโดยไม่รู้สึกร้อนมาก ส่งผลให้ ลดการใช้เครื่องปรับอากาศลง ถือเป็นการช่วย ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ซึ่งทาง อบก. ได้ร่วมกับสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (สสท.) โดยให้ระยะเวลาการรับรองแก่ผู้ประกอบการเป็นเวลา 3 ปี
5.ฉลาก Carbon Offset / Carbon Neutral
เป็นฉลากที่ให้การรับรองกับกิจกรรมที่มีการซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร หรือ ผลิตภัณฑ์ หรือ เหตุการณ์งานอีเว้นท์ หรือ บุคคล การชดเชยมาจากการซื้อ คาร์บอนเครดิต (T-VER หรือโครงการที่ อบก. รับรอง) ในปริมาณที่เท่ากับหรือมากกว่าการปล่อย โดยหากมีการชดเชยเพื่อทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงบางส่วนจะได้รับการรับรองฉลาก Carbon Offset และชดเชยทั้งหมดหรือลดลงเท่ากับศูนย์จะได้รับการรับรองฉลาก Carbon Neutral ซึ่งเทียบเท่ากับไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมนั้น ๆ โดยผู้ที่ผ่านเกณฑ์นี้สามารถขอใช้ เครื่องหมาย “Carbon Neutral” ของ อบก. ได้ โดยฉลาก Carbon Offset / Carbon Neutral มีอายุการรับรอง 1 ปี
6. ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Carbon Footprint of Circular Product : CE-CFP)
ฉลากที่รับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นผลิตตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน การรับรองเครื่องหมาย CE-CFP กำหนดให้การรับรองกับ “ผลิตภัณฑ์” สำเร็จรูป ส่วนประกอบ บรรจุภัณฑ์และวัสดุที่ผ่านกระบวนการหมุนเวียนในรูปแบบต่าง ๆ ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การปรับปรุงใหม่ การผลิตใหม่ การรีไซเคิล การอัพไซเคิล ครอบคลุมทั้งในรูปแบบ Business to Business (B2B) และ Business to Consumer (B2C) และมีลักษณะทางกายภาพที่จับต้องได้
เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคเลือกซื้อและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกระตุ้นให้ผู้ผลิตปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น
จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องเผชิญ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม การคมนาคม และกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดภาวะโลกร้อน ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ภาครัฐมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย มาตรการ และมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การส่งเสริมพลังงานทดแทน การกำหนดเป้าหมาย Net Zero และการออกฉลากสิ่งแวดล้อมจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) สิ่งเหล่านี้เป็นกรอบแนวทางที่ชัดเจนและช่วยสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจดำเนินการอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจก็สามารถนำเทคโนโลยีสะอาด การจัดการพลังงาน และนวัตกรรมต่าง ๆ มาปรับใช้เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของรัฐ
ผลดีที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือนี้มีหลายประการ ได้แก่
- สิ่งแวดล้อมมีทิศทางที่ดีขึ้น สามารถลดมลพิษทางอากาศและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มมากขึ้น
- สังคมและประชาชนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม
- ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน องค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม จะสร้างและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาดที่หลากหลายได้มากขึ้น รวมถึงมีข้อมูล รายงาน ให้กับคู่ค้าที่ต้องใช้รายงานการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน
กล่าวโดยสรุปแล้ว จากความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ ล้วนส่งผลกระทบเชิงบวกที่ดีต่อสังคมมากขึ้น ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมด้วยเช่นกัน
ช่องทางติดต่อ
- Facebook : FDI Group – Business Consulting
- Line : @fdigroup
- Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
- E-mail : infojob@fdi.co.th
見逃せないタイの役立つ情報ที่น่าสนใจ
“ESG ปัจจัยและเครื่องมือสำคัญ” ที่นักลงทุนมองหาในยุคตลาดทุนยั่งยืน
ESG (Environment, Social,...
Read Moreความสำคัญ “Green Finance” เมื่อการเงินกลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change)...
Read Moreธุรกิจกับผู้บริโภค จะสร้างการมีส่วนร่วมลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างไร ?
ในยุคที่วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)...
Read More






