ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง จึงจำเป็นและเป็นเรื่องที่สำคัญในการจัดการปัญหานี้โดยเร่งด่วน ซึ่ง “คาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit) ถือเป็นอีกเครื่องมือที่สำคัญ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในประเทศไทย ปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะเป็นช่วงเร่งเดินหน้านโยบายด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และ เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2608 ซึ่งเราจะเห็นได้จากนโยบายต่าง ๆ ทางด้านกฏหมายที่เริ่มจะมีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น ร่าง พ.ร.บ. ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รวมถึงกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมมลพิษต่าง ๆ ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น0
カーボンクレジット คืออะไร ?
“คาร์บอนเครดิต” คือ การนำกลไกของตลาดมาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งถ้าหากองค์กรใดที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ต่ำกว่า หรือน้อยกว่าปริมาณที่ปล่อยปกติ หรือมีการดำเนินการที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้นจากการดูดซับปกติ ปริมาณที่ปล่อยได้มีการลดลงหรือดูดซับได้เพิ่มมากขึ้นนี้ จะเรียกว่า คาร์บอนเครดิต
โดยหน่วยที่ใช้วัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้ 1 หน่วย เท่ากับ 1 ตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) หรือเทียบเท่า เช่น มีโครงการปลูกป่า 1 โครงการ หากสามารถดูดซับก๊าซ CO₂ ได้ 100 ตัน โครงการนั้นก็จะมีสิทธิได้รับคาร์บอนเครดิต 100 หน่วย ซึ่งสามารถนำไป “ขาย” ให้กิจการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินเกณฑ์ เพื่อทำการชดเชยในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรนั่นเอง
รูปแบบและประเภทของคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจว่าคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยอาจจำแนกอย่างกว้างได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
- คาร์บอนเครดิตที่ได้รับจากการทำโครงการที่มีการลดหรือเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Reduction/Avoidance Projects) เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือแหล่งพลังงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลงกว่ากรณีปกติ
- คาร์บอนเครดิตที่ได้รับจากการทำโครงการที่ดูดกลับก๊าซเรือนกระจกมากักเก็บไว้ (Carbon Removal Projects) เช่น การปลูก ดูแลรักษา หรือฟื้นฟูป่าไม้, BioEnergy with Carbon Capture and Storage (BECCS), Direct Air Carbon Capture (DAC), Direct Ocean Capture (DOC) เป็นต้น
ในประเทศไทย หน่วยงานกลางที่ดูแลเรื่องนี้คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ซึ่งรับผิดชอบในการรับรองโครงการ คำนวณการลดการปล่อย และดูแลตลาดคาร์บอนเครดิต ประเทศไทย
ส่องทิศทางนโยบายคาร์บอนเครดิต ประเทศไทย ปี 2568
ในบทความนี้ จะพาไปสำรวจทิศทางนโยบายคาร์บอนเครดิต ประเทศไทย ปี 2568 พร้อมวิเคราะห์ผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โอกาสของผู้ประกอบการ และความพร้อมของระบบสนับสนุนในเรื่องของคาร์บอนเครดิตในไทย
1. ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีตลาดคาร์บอนบังคับ (Cap-and-Trade) แต่มีการส่งเสริมตลาดคาร์บอนเครดิตคือแบบภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่ผ่านมามีแนวโน้มการเข้าร่วมเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าภาครัฐ หน่วยงานหลักที่ดูแล ต่างผลักดันให้ภาคเอกชนเข้าร่วมมากขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก เช่น พลังงาน เหล็ก ปูนซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
2.นโยบายภาครัฐส่งเสริมโครงการในภาคป่าไม้ให้เข้าสู่ระบบรับรองคาร์บอนเครดิตมากขึ้น
จากรายงานนโยบายภาครัฐเรื่อง Climate Change 2566 ของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ได้พูดถึงการสนับสนุนเร่งรับรอง โครงการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรและป่าไม้ เช่น การปลูกป่า การฟื้นฟูป่าชุมชน หรือระบบเกษตรอินทรีย์ เริ่มได้รับการสนับสนุน ผลักดันให้เข้าสู่ระบบรับรองคาร์บอนเครดิตมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง “เศรษฐกิจสีเขียว” ของประเทศไทย ที่ภายในปี 2568 จะมีเป้าหมายเร่งขึ้นทะเบียนโครงการ VCS (Verified Carbon Standard) ในต่างประเทศ และ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ในประเทศให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20%
3.บริษัทและองค์กรภาคเอกชน ต่างขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมตามแนวทาง ESG และเป้าหมาย SDGs
ภาคธุรกิจมีการจัดทำรายงาน ESG (Environment, Social, Governance) และรายงานการปล่อยคาร์บอนมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยจะกลายเป็นกลไกหลักในการชดเชยการปล่อยคาร์บอน พร้อมช่วยยกระดับภาพลักษณ์องค์กรด้านความยั่งยืนได้อีกด้วย
โอกาสและความท้าทายของภาคธุรกิจไทย
ถือเป็นอีกโอกาสของธุรกิจที่สามารถขายคาร์บอนเครดิต เป็นอีกช่องทางในการเกิดรายได้ ของผู้พัฒนาโครงการ เช่น พัฒนาโครงการป่าไม้ พลังงานหมุนเวียน โดยสามารถยื่นเรื่องขอรับรองคาร์บอนเครดิตกับ อบก. เพื่อทำการขายให้กับองค์กรที่ต้องชดเชยคาร์บอนเครดิตได้
คำแนะนำในการเข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตสำหรับผู้ที่สนใจ
สำหรับองค์กรหรือชุมชนที่ต้องการเข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิต ควรเริ่มต้นจากการประเมินกิจกรรมหรือกระบวนการใดบ้าง ที่สามารถลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้ เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน การปลูกป่า หรือพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน จากนั้นให้ศึกษามาตรฐานที่ใช้ในการรับรอง เช่น T-VER ระบบคาร์บอนเครดิตภายในประเทศไทย โดย TGO หรือ VCS (Verified Carbon Standard) ระบบมาตรฐานสากล โดยศึกษาเกณฑ์ของแต่ละมาตรฐาน เช่น วิธีการคำนวณ ระยะเวลาโครงการ เอกสารที่ต้องใช้ เพื่อวางแผนงานให้สอดคล้องและจัดเตรียมข้อมูลด้านเทคนิคให้พร้อม ซึ่งสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอย่าง FDI ได้ในการเขียนแผนโครงการ เพื่อวางระบบการวัด ปรับปรุงกระบวนการ และยื่นขอรับรองอย่างถูกต้อง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและมูลค่าของคาร์บอนเครดิตในตลาดให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยยึดแนวทางการดำเนินงานภายใต้แนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
หากคุณกำลังมองหาที่ปรึกษาโครงการคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย เราพร้อมให้คำแนะนำในการเริ่มทำโครงการ หรือการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์ เราพร้อมให้คำแนะนำด้วยประสบการณ์เชิงลึกในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การวางแผนไปจนถึงการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาเบื้องต้นได้เลยทันที
サービス内容
ให้คำปรึกษาในการวัดประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์ ครบจบในที่เดียว
บริการที่ปรึกษาในการอบรมภายในเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในเป้าหมายที่ต้องทำร่วมกัน การทำ Workshop คำแนะนำในการเตรียมข้อมูลเพื่อจัดทำ ที่ปรึกษาในการวัดประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่วิเคราะห์แหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกในองค์กร คู่ค้า ผู้มีส่วนได้เสียทั้งห่วงโซ่อุปทาน และการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ ไปจนถึงช่วยให้คุณคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ของการทําบัญชีก๊าซเรือนกระจก โดยใช้มาตราฐานตามหน่วยงานของประเทศไทยและในระดับสากล เช่น TGO , GHG Protocol , PCAF , IPCC ไม่แน่ใจ พร้อมกับการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน ที่ให้การรับรองโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint for Organization) คืออะไร อ่านต่อ ….
การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint for Product) คืออะไร อ่านต่อ ….
องค์กร/บริษัท ในอุตสาหกรรมใดบ้าง ที่ต้องเริ่มประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์แล้ว เริ่มก่อนพร้อมกว่า !
- องค์กรที่ต้องการส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศ ในกลุ่มประเทศที่ต้องมีการรับรองมาตรฐานสินค้าที่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น สหภาพยุโรป ที่ใช้มาตรการ CBAM
- องค์กรที่ต้องนำส่งข้อมูลรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแก่บริษัทและคู่ค้า หรือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- องค์กรที่ต้องเตรียมพร้อมในการเข้าสู่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- องค์กรที่ต้องจัดทำรายงานความยั่งยืน
- องค์กรที่มองเห็นโอกาสในการเข้าสู่ตลาดสีเขียว อุตสาหกรรมแห่งความยั่งยืนและต้องการปรับปรุงเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมในการลดก๊าซเรือนกระจก
ช่องทางติดต่อ
- Facebook : FDI Group – Business Consulting
- Line : @fdigroup
- Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
- E-mail : infojob@fdi.co.th
- Website : www.fdi.co.th
見逃せないタイの役立つ情報ที่น่าสนใจ
ต้องรู้! เพิ่มโอกาส สร้างความเข้าใจสู่ความยั่งยืน ด้วยการจัดอบรมพนักงานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
ในวันที่โลกเผชิญกับภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นทุกปี องค์กรที่ไม่ปรับตัว อาจจะคว้าโอกาสทางการค้าไม่ทัน...
Read Moreชี้พิกัด 10 สินค้า Green Product ในไทยสุดว๊าว ! สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมน่าสนใจอย่างไรไปดูกันเลย
ความน่าสนใจของ Green Product...
Read MoreEco-Friendly Products คืออะไร? “สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” แค่ชื่อดูดี หรือเปลี่ยนโลกสร้างความยั่งยืนได้จริง ?
Eco-friendly products คืออะไร...
Read More