ในยุคที่ใคร ๆ ก็สามารถเปิดร้านออนไลน์ได้ ไม่ว่าจะขายผ่าน Facebook, LINE, Instagram, TikTok หรือ Shopee–Lazada หลายคนอาจมองว่าการขายของออนไลน์นั้นง่าย รายได้ดี ไม่ต้องเปิดหน้าร้าน แต่สิ่งที่ต้องรู้ ต้องทำเลยก็คือ “เรื่องของเอกสารบัญชี” ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการบริหารจัดการธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย และยังช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบย้อนหลังโดยกรมสรรพากรอีกด้วย พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยุคใหม่ต้องห้ามพลาด บทความนี้ !

เอกสารบัญชีของร้านค้าออนไลน์อะไรบ้าง ? ที่ต้องนำส่งข้อมูลแก่สรรพากร

1. เลขทะเบียนนิติบุคคล หรือ เลขประจำตัวประชาชน ของผู้ประกอบการขายสินค้าหรือให้บริการ
2. รายได้จากการคำนวณค่านายหน้าและค่าธรรมเนียมการชำระเงินทั้งหมด ซึ่งจะแสดงรายได้รวมในแต่ละแพลตฟอร์มที่มีการขายของแต่ละร้าน
3. รายได้อื่น ๆ ที่รับจากผู้ประกอบการ รวมทุกบัญชี บนแพลตฟอร์ม
4. เลขที่บัญชี ชื่อธนาคาร และบัญชีธนาคาร ของผู้ประกอบการ ที่ใช้รับเงินจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ 
5. ชื่อผู้ประกอบการ(ชื่อร้านค้า) หรือชื่อนิติบุคคล

ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาเมื่อ 1 มกราคม 2567 ได้มีการประกาศกฏหมายบังคับใช้สำหรับร้านค้าออนไลน์ ที่ต้องนำส่งข้อมูลรายได้ในแต่ละรอบบัญชีจนถึงสิ้นรอบบัญชีของแต่ละแพลตฟอร์มออนไลน์ นำส่งแก่กรมสรรพากร ภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี

เอกสารที่จำเป็นต้องรู้ ! ผู้ประกอบการไม่รู้ไม่ได้ 

1.ใบกำกับภาษี / ใบเสร็จรับเงิน

• สำหรับลูกค้าทั่วไป หากมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้ว ต้องออก “ใบกำกับภาษีเต็มรูป” ทุกครั้ง
• หากยังไม่ถึงเกณฑ์ VAT (1.8 ล้านบาทต่อปี) สามารถออก “ใบเสร็จรับเงิน” หรือ “ใบส่งของ” เพื่อเป็นหลักฐานการขายได้
• ทุกครั้งที่ออกเอกสารต้องมีชื่อบริษัท เลขประจำตัวผู้เสียภาษี และรายการสินค้าให้ครบถ้วน ถูกต้องเสมอ 

2. ใบสั่งซื้อ / ใบสั่งขาย / ใบเสนอราคา

• ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้ว่าธุรกิจมีกระบวนการขายสินค้าได้ชัดเจน เป็นมืออาชีพ
• หากขายของผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada, ควรเก็บหลักฐานคำสั่งซื้อและใบเสร็จจากระบบมาแนบไว้ด้วย

3. บันทึกรายรับ – รายจ่ายประจำวัน

• สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยหรือบุคคลธรรมดา ให้จดบันทึกเองได้โดยใช้การบันทึกตามรูปแบบที่ถนัด
• สำหรับนิติบุคคล ต้องใช้บริการผู้สอบบัญชี และทำบัญชีตามมาตรฐานบัญชีของสภาวิชาชีพบัญชี
• ปัจจุบันมีแอปหรือโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่ช่วยบันทึกข้อมูลได้สะดวก สามารถค้นหาข้อมูลผู้ให้บริการเพื่อเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับธุรกิจ
  

4. หลักฐานการโอนเงิน / ใบเสร็จจากธนาคาร / Statement

• ธุรกิจออนไลน์ที่มีรายได้จากหลายช่องทาง เช่น QR Code, พร้อมเพย์, โอนผ่านมือถือ ควรแยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัวให้ชัดเจนเพื่อป้องการบันทึกข้อมูลที่ผิดพลาด รวมถึงเพิ่มความสะดวกในการตรวจเช็คข้อมูล
  
• เลือกใช้บริการ “บัญชีเพื่อธุรกิจ” ของแต่ละธนาคาร ที่สามารถออก statement ได้ชัดเจน เหมาะสำหรับการยื่นภาษีหรือขอสินเชื่อได้ในอนาคต
  

5. ใบแจ้งหนี้ (Invoice) / ใบลดหนี้ / ใบเพิ่มหนี้

• แจ้งยอดให้ชำระหนี้ ใช้ในกรณีขายสินค้าให้กับลูกค้ารายใหญ่ หรือนิติบุคคล
• หากมีการคืนของ หรือปรับยอด ต้องออกใบลดหนี้หรือเพิ่มหนี้ตามความเป็นจริงด้วย
  

6. ใบรับสินค้า / ใบส่งของ

• ใช้ยืนยันการจัดส่งสินค้าหรือรับของเข้าคลัง ช่วยให้ควบคุมสต๊อกสินค้าได้ถูกต้อง
• หากใช้บริการขนส่ง เช่น Kerry, Flash, J&T ให้เก็บใบส่งของหรือเลขพัสดุไว้เป็นหลักฐานประกอบทุกครั้ง
  

7. เอกสารใบหัก ณ ที่จ่าย (กรณีจ่ายค่าบริการ)

• เช่น จ้าง influencer, พนักงานฟรีแลนซ์, ช่างภาพ ฯลฯ หากยอดเกินเกณฑ์ ต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย และออกหนังสือรับรองการหักภาษีตามมาตรา 50 ทวิให้ผู้รับงานทุกครั้ง 

 ต้องยื่นภาษีอย่างไรบ้าง 

สำหรับธุรกิจแต่ละประเภทจะมีการเสียภาษีต่างกันออกไปตามเงื่อนไขรายได้ที่ได้รับในแต่ละเดือน จากแต่ละแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งรายได้จากขายออนไลน์ทุกประเภทต้องมีการนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล 

1.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/94) ถ้าหากมีรายได้จากการขายของออนไลน์เกิน 60,000 บาทต่อปี ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ปีละ 1 ครั้ง ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป

2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ถ้ามีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการออนไลน์เกิน 1.8 ล้านต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT และยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ต้องมีการออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้าทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการ

จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเสียภาษีเท่าไหร่ ?

สามารถคำนวณโดยใช้โปรแกรมคำนวณภาษีออนไลน์ได้เลย เพื่อความถูกต้องและความสะดวกในการคำนวณ เช่น ใช้โปรแกรมคำนวณในเว็บไซต์ของกรมสรรพากร หรือจะเป็นโปรแกรมคำนวณภาษีออนไลน์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน 

ขั้นตอนการยื่นภาษีสำหรับพ่อค้า- แม่ค้าออนไลน์

1. ต้องเตรียมเอกสารสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี เอกสารการชำระเงินต่าง ๆ รวมถึงเอกสารทางการเงินอื่น ๆ ทั้งการซื้อ-ขาย
2. ยื่นภาษีโดยเลือกช่องทางที่เหมาะสม โดยยื่นเองได้ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ยื่นผ่านโปรแกรม e-Filing หรือปรึกษาที่ปรึกษาด้านบัญชีและภาษีให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการยื่นหรือเตรียมเอกสารได้ 
3. การกรอกเอกสารและตรวจทานเอกสารก่อนยื่น โดยกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ระบุรายได้ ค่าใช้จ่าย เป็นข้อมูลจริงที่ถูกต้อง 
4. การชำระภาษี ต้องมีการชำระภาษีตามยอดที่ในระบบแจ้งมา โดยชำระผ่านธนาคารหรือผ่านระบบของธนาคารได้เช่นกัน 

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีนิติบุคคลและวางแผนภาษี

สำหรับการเก็บเอกสารบัญชีเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกรายได้ทุกช่องทางจากการขายออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม มีการแยกประเภทที่มาของรายได้ชัดเจนว่าเป็นรายได้จากการขายสินค้า รายได้จากการให้บริการออนไลน์ การบันทึกค่าใช้จ่าย – แยกประเภททุกรายการให้ชัดเจน  ที่สำคัญคือการเก็บหลักฐานการรับเงิน โอนเงิน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ   เพื่อให้สะดวกในการยื่นภาษี การตรวจสอบ และทำให้รู้รายได้เพื่อที่จะยื่นภาษีได้ถูกประเภท  ที่สำคัญควรศึกษาการใช้สิทธิการลดหย่อนภาษีที่จะเกิดประโยชน์ต่อตนเอง เช่น ประกันชีวิต วางแผนการลงทุนในกองทุนต่าง ๆ การบริจาคเพื่อการกุศล หรือการใช้โครงการภาครัฐในช่วงที่มีนโยบายในการคืนภาษี เป็นต้น 

 FDI ที่ปรึกษาด้านการบัญชีและวางแผนภาษี สำหรับนิติบุคคล

มุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจของคุณสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยบริการที่ปรึกษาด้านบัญชีและการวางแผนภาษีในระยะยาว ทีมผู้เชี่ยวชาญมีประสบการณ์และความรู้เชิงลึก พร้อมช่วยคุณเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนได้ 

เราสามารถให้คำแนะนำ จัดเตรียมเอกสาร ยื่นแบบภาษี และติดต่อประสานงานกับกรมสรรพากร ทำให้บริษัทของคุณดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและลดความกังวลเรื่องภาษีของบริษัทได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถให้คำแนะนำ พร้อมคำปรึกษาในการวางแผนธุรกิจในระยะยาว เพื่อให้ธุรกิจเติบโตด้วยความมั่นคงได้อย่างดี

ช่องทางติดต่อ 

• Facebook : FDI Group – Business Consulting
• Line : @fdigroup
• Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
• E-mail : infojob@fdi.co.th
• Website : www.fdi.co.th