ระบบบัญชี

การทำบัญชีนิติบุคคลให้ได้มาตรฐาน คนทำธุรกิจต้องรู้ การทำบัญชีและวางแผนภาษี !

รู้หรือไม่ ? หลายธุรกิจไปต่อไม่ไหว ต้องปิดกิจการลง ! เพราะอะไร เพราะวางแผนบัญชีนิติบุคคลผิดพลาดตั้งแต่แรกในการเริ่มต้นธุรกิจ หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่หลายคนมองข้าม คือ “การวางแผนบัญชีนิติบุคคล” ซึ่งเป็นพื้นฐานของความมั่นคงในการดำเนินงานและทางการเงิน  ที่สำคัญยังเป็นตัวกำหนดทิศทางการเติบโตในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ หลายกิจการแม้จะมีไอเดียดี  แต่กลับไปต่อไม่ได้เพราะจัดการระบบบริหารบัญชีผิดพลาด การวางโครงสร้างภาษีไม่เหมาะสม หรือไม่รู้ว่าควรเลือกจดทะเบียนแบบใดให้เหมาะกับธุรกิจ อีกหนึ่งจุดที่พบบ่อยคือ “การเลือกจดทะเบียนนิติบุคคลแบบไม่เหมาะสม” บางกิจการจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดโดยไม่มีการศึกษาภาระภาษีหรือภาระทางกฎหมายที่ตามมา รวมถึงความซับซ้อนในการวางโครงสร้างการทำงานองค์กร ขณะที่บางรายทำธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดาอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไร จนทำให้เสียโอกาสที่ดีทางธุรกิจ ทั้งที่สามารถเปลี่ยนสถานะกิจการโดยการจดทะเบียนเข้าสู่ระบบให้ถูกต้อง เพื่อบริหารภาษีและต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งการไม่เข้าใจว่าการจดทะเบียนนิติบุคคลจะต้องมีระบบบัญชีและงบการเงินที่ถูกต้องนั้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องเผชิญค่าปรับจากกรมสรรพากร หรือการถูกตรวจสอบย้อนหลังได้  “หนึ่งในสาเหตุหลักเพราะขาดความเข้าใจในการทำบัญชีและวางแผนภาษี” การไม่มีผู้เชี่ยวชาญดูแลบัญชีและวางแผนภาษี ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ หลายธุรกิจเลือกประหยัดต้นทุนโดยไม่จ้างนักบัญชีหรือสำนักงานบัญชี แต่ให้คนในครอบครัวหรือพนักงานทั่วไปทำหน้าที่นี้แทน ซึ่งมักพบปัญหาที่ตามมา คือไม่สามารถจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานหรือคำนวณภาษีอย่างถูกต้องเพียงพอ จากความผิดพลาดเล็กน้อยที่สะสมต่อเนื่องหลายเดือนสามารถกลายเป็นหนี้ภาษีจำนวนมาก และกลายเป็นเรื่องที่ทำให้กิจการหยุดชะงัก ไม่ราบรื่น หรือบางรายถึงขนาดต้องปิดกิจการลงในที่สุดเพราะขาดสภาพคล่องในการบริหารงานเป็นเวลานานสะสมจนเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากเกินจะแก้ เริ่มทำอย่างไรในการทำบัญชีนิติบุคคล ต้องรู้ก่อนว่าบัญชีนิติบุคคลคืออะไร ? ในการเปิดบัญชีในรูปแบบนิติบุคคล หรือบริษัทนั้น ธุรกิจจะต้องจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นอย่างถูกต้องโดยกรมพัฒนาธุรการค้า กระทรวงพาณิชย์ จากนั้นปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่าง FDI ในการวางแผนว่าต้องทำบัญชี วางแผนภาษีแบบใดจึงจะเหมาะสมกับรูปแบบที่มีการจดทะเบียนขึ้นเพื่อให้เกิดความเสี่ยงในการดำเนินกิจการน้อยที่สุด ทั้งการทำงานที่ตรวจสอบได้ มีความโปร่งใส รู้ฐานะการเงินบริษัท สามารถนำมาวางแผนในการลงทุนขยายกิจการต่อได้ในอนาคต   ทำไม ? ถึงต้องวางระบบบัญชีนิติบุคคลให้ดีตั้งแต่เริ่มกิจการ การวางแผนระบบบัญชีนิติบุคคลพื่อให้การดำเนินงานในระยะยาวเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งเรื่องของกฏหมาย ความน่าเชื่อถือ การติดต่อคู่ค้า ลูกค้า การขยายธุรกิจ ตลอดจนการการเข้าถึงแหล่งเงินทุน สินเชื่อต่าง ๆ กับทางธนาคาร โดยสามารถให้คำแนะนำเพิ่มเติมได้ดังนี้ 1. เป็นการแยกทรัพย์สินและความรับผิดชอบระหว่างธุรกิจกับเจ้าของได้ชัดเจนมากขึ้น  เช่น การเปิดบัญชีธนาคารในชื่อบริษัทหรือนิติบุคคลมีข้อดีชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสามารถแยกรายรับ – รายจ่ายออกจากบัญชีส่วนตัวได้ ทำให้ตรวจสอบบัญชีได้ง่าย สร้างความโปร่งใส และเป็นเอกสารยืนยันที่สำคัญเมื่อขอยื่นกู้ หรือขอใบรับรองเงินได้จากธนาคาร โดยการเปิดบัญชีนิติบุคคล หมายถึง การแยกบัญชีธุรกิจที่มีสถานะเป็น “นิติบุคคล” ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งที่แยกออกจากตัวเจ้าของกิจการอย่างชัดเจน ผลคือ ทรัพย์สินของธุรกิจจะไม่ปะปนกับทรัพย์สินส่วนตัว และในกรณีเกิดหนี้หรือคดีความ เจ้าของจะไม่ต้องรับผิดชอบด้วยทรัพย์สินส่วนตัว นอกจากในกรณีที่ทำผิดกฎหมายโดยเจตนา แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการดำเนินงานทางบัญชีตลอดที่ดำเนินงานประกอบด้วยเช่นกัน 2. ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดภาษีได้ชัดเจน เมื่อรายได้ธุรกิจเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (โดยเฉพาะถ้าเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย) การดำเนินธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลจะช่วยให้สามารถยื่นภาษีอย่างถูกต้องและมีโครงสร้างเอกสารที่ชัดเจน ไม่เสี่ยงต่อการโดนตรวจสอบย้อนหลังหรือโดนค่าปรับจากกรมสรรพากรจากกรณีที่ไม่มีการยื่นภาษีตามกฏหมายระบุไว้ 3. การวางแผนบัญชีและภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเป็นนิติบุคคลทำให้สามารถใช้สิทธิในการหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจได้มากกว่าบุคคลธรรมดา เช่น ค่าเช่า ค่าจ้าง ค่าวัสดุ ค่าที่ปรึกษา ค่าสึกหรอ ฯลฯ ซึ่งช่วยลดกำไรสุทธิและลดภาระภาษีที่ต้องชำระ นอกจากนี้ยังสามารถวางแผนภาษีล่วงหน้าได้ง่ายกว่า […]

ทำงานอยู่ไม่รู้ไม่ได้ ! ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คำนวณอย่างไร ใครบ้างจะต้องจ่าย ?

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คืออะไร เกี่ยวกับการยื่นภาษีอย่างไร ? ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) เป็นกลไกทางภาษีที่รัฐบาลใช้ในการเก็บภาษีล่วงหน้าจากผู้มีรายได้ โดยกำหนดให้ผู้จ่ายเงินทำหน้าที่หักภาษีจากจำนวนเงินที่ต้องจ่ายให้แก่ผู้รับ แล้วนำส่งกรมสรรพากร วิธีการนี้ช่วยให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงจากการเก็บภาษีไม่ครบถ้วน สำหรับภาษีหัก ณ ที่จ่าย จะมีการหักภาษีทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินซึ่งเข้าข่ายตามเงื่อนไขของประเภทเงินได้ที่กฎหมายกำหนด ทำให้ผู้รับเงินจะได้รับเงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเต็ม  และจะได้รับหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นหลักฐานเพื่อใช้ประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงสามารถยื่นขอคืนภาษีในส่วนที่ชำระเกินได้ แม้ผู้จ่ายเงินจะได้หักภาษีและนำส่งให้กรมสรรพากรเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้รับเงินยังคงมีหน้าที่นำรายได้นั้นมารวมคำนวณภาษีประจำปี และยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ตามปกติ ไม่หัก !! สำหรับยอดที่ไม่เกิน 1,000 บาท ทางกรมสรรพากรมีข้อกำหนดว่าไม่ต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่หากเป็นยอดที่มีมูลค่าไม่ถึง 1,000 บาท ที่มีสัญญาต่อเนื่อง เช่น ค่าบริการอินเทอร์เน็ต ต้องทำหัก ณ ที่จ่ายไว้ เพราะยอดทั้งปีเกิน 1,000 บาทเป็นต้น   อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย หักอย่างไรบ้าง อัตราภาษีที่ต้องหักขึ้นอยู่กับประเภทของรายได้ดังนี้ เงินเดือนและค่าจ้าง บริษัทจ่ายเงินค่าตอบแทนให้พนักงาน เป็นเงินที่เข้าเกณฑ์การหักภาษี ณ ที่จ่าย จะหักตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นอัตราก้าวหน้า โดยสามารถทำได้จากการเอาเงินที่จ่ายให้พนักงานทั้งปี มาหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ และหักตามอัตราก้าวหน้า  แต่หากเป็นกรณีที่พนักงานรายได้ไม่ถึงเกณฑ์กำหนด บริษัทก็ไม่จำเป็นที่จะหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือเทียบเท่ากับ 0% แต่หากหักไปแล้ว พนักงานก็สามารถขอคืนภาษีจากภาครัฐในตอนที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  ค่าบริการหรือวิชาชีพอิสระ : ในการจ้างรับเหมา ทำของ จ้างทำนามบัตร จ้างทำกราฟิก จ้างตกแต่งภายใน หรือบริการต่างๆ จะมีการคิดในอัตราการหักที่ 3% ของจำนวนเงินที่จ่ายจริง  ค่าโฆษณา : การโฆษณาสินค้าตามสื่อโฆษณาต่าง ๆ ผ่านเอเจนซี่ บริษัทรับโฆษณาเพื่อช่วยประกาศให้แบรนด์หรือสินค้าเป็นที่รู้จักผ่านโซเชี่ยลมีเดียต่าง ๆ จะมีการคิดอัตราหัก 2%  ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ : ถ้าหากเป็นการเช่าเพื่อจัดสัมมนา อีเวนต์ต่างๆ ถือเป็นค่าบริการจะทำหัก ณ ที่จ่าย 3% แต่ถ้าเป็นการถือกุญแจจะถือเป็นค่าเช่าสถานที่หัก 5% ของจำนวนเงินที่จ่าย  ดอกเบี้ย : หัก 15% ของจำนวนเงินที่จ่าย เงินปันผล : […]