เจาะข้อมูล Negative Income Tax คืออะไร? ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้จริงหรือ ?
ทางด้านปลัดกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ระบุว่ากระทรวงฯ กำลังพัฒนาโครงสร้างข้อมูล (data infrastructure) และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (data lake) กว่า 10 หน่วยงาน ที่ครอบคลุมประชาชนกว่า 60.8 ล้านคนและธุรกิจกว่า 600,000 แห่ง เพื่อรองรับและออกแบบนโยบายสวัสดิการเพื่อการดำเนินงานในระบบ Negative Income Tax (NIT) หรือภาษีเงินได้ติดลบ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้ภายในปี 2570
สำหรับ “Negative Income Tax” กลายเป็นประเด็นที่น่าจับตาด้วยหนึ่งในใจความสำคัญคือ คนไทยทุกคนต้องเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อยืนยันรายได้ที่เกิดขึ้น กรณีหากรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ จึงจะได้รับสวัสดิการจากภาครัฐ
ไขข้อสงสัย “Negative Income Tax” หรือ ภาษีเงินได้ติดลบ คืออะไร ?
Negative Income Tax (NIT) ( ภาษีเงินได้ติดลบ をディスカッショントピックスとし、 FINNOMENA ได้ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจว่า “เป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดจากนักเศรษฐศาสตร์ Milton Friedman ในสหรัฐอเมริกา ช่วงทศวรรษ 1960 เพื่อแก้ปัญหาสวัสดิการที่ซ้ำซ้อนและไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นระบบ Earned Income Tax Credit (EITC) ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ แคนาดา และสหราชอาณาจักร” โดยรัฐจะเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูง และจ่ายเงินให้ผู้มีรายได้ต่ำ ภายใต้ระบบเดียวกัน ซึ่งแม้จะมีรายได้น้อยกว่าค่าลดหย่อยก็ต้องยืนภาษีดังกล่าว เพื่อให้ทางภาครัฐได้มีการจัดเก็บข้อมูลในการคัดกรองสิทธิ์เพื่อรับสวัสดิการอย่างแม่นยำมากขึ้น จะช่วยลดความซ้ำซ้อนของโครงการช่วยเหลืออื่นๆร่วมได้
เข้าใจในหลักการ คือ
ทุกคนต้อง ยื่นภาษี และรายงานรายได้ประจำปี
ถ้ารายได้ สูงกว่าเกณฑ์ → ต้องจ่ายภาษีในเกณฑ์ตามปกติ ซึ่งเงื่อนไขในปัจจุบันอยู่ที่เงินได้สุทธิตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไป
ถ้ารายได้ ต่ำกว่าเกณฑ์ → ต้องยื่นแต่ไม่ต้องเสียภาษี และรัฐจะจ่ายเงินชดเชยเป็นสวัสดิการให้กับผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ผ่านระบบภาษี จึงได้เรียกว่า “ภาษีติดลบ” ซึ่งเงื่อนไขในการรับเงินชดเชยจะเป็นในรูปแบบอัตราส่วน
กระทรวงการคลังเดินหน้าปี 2570 คนไทยต้องเข้าสู่ระบบภาษี
นโยบายดังกล่าวจะถูกนำมาบังคับใช้จริง โดยข้อมูลที่น่าสนใจคือ มีคนไทยบางส่วนยังไม่ทราบถึงการยื่นแบบภาษี และการเสียภาษีนั้นเป็นหน้าที่ตามกฏหมาย ถ้าหากมีรายได้ต่อปีมากกว่า 150,000 บาท ต้องมีการเสียภาษี ซึ่งสัดส่วนในกลุ่มที่ไม่ทราบข้อมูลนั้นจะกระจุกตัวในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือมีสถานะทางการเงินที่ไม่ดีมากนัก ซึ่งจากนโยบายดังกล่าวนี้หากมีการเดินหน้าเต็มรูปแบบ จะส่งผลดีให้รูปแบบการเก็บภาษีของไทยมีฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงฐานรายได้และรัฐสวัสดิการมีความสอดคล้อง ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะการบังคับให้คนไทยยื่นแบบเสียภาษี จะช่วยให้รัฐมีข้อมูลรายได้ของประชาชนครบถ้วนมากยิ่งขึ้นครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก รวมถึงเป็นการขยายฐานผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติได้อีกด้วย
เป้าหมายของระบบ Negative Income Tax
เป็นการขยายฐานผู้ยื่นภาษี – ทุกคนในไทยต้องยื่นแบบภาษี ไม่ว่ามีรายได้มากหรือน้อยก็ตาม
เป็นการจัดสรรสวัสดิการให้ตรงจุด – ใช้ข้อมูลจากรายได้จริง เพื่อลดการตกหล่นของข้อมูล และความซ้ำซ้อนของโครงการสวัสดิการ
ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ – เป็นกระจายรายได้จากกลุ่มคนที่มีรายได้มาก ไปสู่กลุ่มคนที่มีรายได้น้อย เพื่อขจัดความยากจนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ทำให้รัฐมีฐานข้อมูลรายได้ครบถ้วน ถูกต้องมากยิ่งขึ้น – เพื่อวางแผนเศรษฐกิจและนโยบายสังคมได้ตรงจุด แม่นยำมากขึ้นจากข้อมูลจริง
การพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) ส่งผลดีต่อประเทศได้อย่างไร
- ส่งเสริมและบูรณาการกับ Negative Income Tax หรือภาษีเงินได้ติดลบให้มีความครอบคลุมและลึกมากยิ่งขึ้น
- เป็นการรวมข้อมูลที่ปัจจุบันกระจายอยู่คนละที่ตามหน่วยงานภาครัฐที่ดูแล มารวมกันในที่เดียว ช่วยทำให้ข้อมูลทุกอย่างอยู่บนฐานข้อมูลเดียวกัน ทำให้การจัดสรรงบในการดูแลประชาชน รัฐสวัสดิการเป็นไปอย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น
- เกิดการพัฒนาประเทศโดยการจัดสรรงบตามแต่ละภูมิภาค การดูแลประชาชนในแต่ละพื้นที่ ช่วยในการออกแบบนโยบายให้เหมาะกับคนในแต่ละกลุ่ม ตามความต้องการที่แตกต่างกันออกไป
- ช่วยในการจัดเก็บภาษี รวมถึงขยายฐานกลุ่มผู้เสียภาษีได้โดยอัตโนมัติ
สำหรับนโยบายดังกล่าวในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีสำหรับนิติบุคคล อย่าง FDI ได้ให้ความเห็นว่า ” การยื่นแบบภาษีเป็นหน้าที่ที่ต้องยื่นสำหรับผู้มีรายได้เกินเกณฑ์ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฏหมายอย่างถูกต้อง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจและยื่นแบบภาษีในทุกปีอยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มที่เสียภาษีอยู่แล้ว อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เนื่องจากมีความคุ้นเคยในการยื่นแบบภาษีอยู่แล้ว แต่อาจจะมีขั้นตอน หรือกระบวนการในการตรวจสอบภาษีที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งนโยบายดังกล่าวจะช่วยขยายฐานผู้เสียภาษีในไทยโดยอัตโนมัติ ผู้ที่มีรายได้มากเกินเกณฑ์แต่ยังไม่เคยยื่นแบบภาษี จะถูกดึงเข้าสู่ระบบการตรวจสอบ ซึ่งต้องมีการเสียภาษีตามจริงเกิดขึ้นตามมา ที่สำคัญนโยบายนี้จะช่วยให้การจัดสรรรัฐสวัสดิการ สามารถช่วยผู้ที่ตกหล่น/รายได้น้อยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ เนื่องด้วยเห็นข้อมูลที่เป็นจริง สามารถใช้ข้อมูลในการเป้าหมาย วางแผนนโยบาย จัดสรรงบช่วยเหลือได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างระบบสวัสดิการให้ยั่งยืนในระยะยาวได้
โดยสรุปแล้ว Negative Income Tax คือ ระบบที่ทำให้ “ทุกคนต้องยื่นภาษี แต่คนรายได้น้อยจะได้เงินจากรัฐแทนการเสียภาษี” เป็นการรวมระบบเก็บภาษีและสวัสดิการเข้าด้วยกัน การดำเนินการนี้จะช่วยให้รัฐมีข้อมูลรายได้ของประชาชนอย่างครอบคลุม ซึ่งช่วยในการจัดสรรสวัสดิการได้ตรงเป้าหมาย ลดความซ้ำซ้อนของโครงการ และขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งไทยตั้งเป้าเริ่มใช้จริงปี 2570
ขอขอบคุณที่มาข้อมูล : กระทรวงการคลัง , FINNOMENA , สภาพัฒน์ฯ
その他のニュース
FDI Group จัดสัมมนาฟรี! กับสุดยอดหัวข้อแห่งปี “เจาะลึกกลยุทธ์ “ CBAM Countdown ” กันตกขบวนสู่โอกาสที่เหนือกว่า “
FDI Group ผนึกกำลังผู้เชี่ยวชาญ...
Read More“แจกฤกษ์ดี ปี 68 “ ครึ่งปีหลัง สายมูต้องอ่าน เปิดบริษัทจำกัดให้เฮงยิ่งกว่าเดิม !
ฤกษ์เปิดบริษัทจำกัด ปี 68...
Read Moreอัปเดตบัตรสีชมพู หรือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย หากหมดอายุต้องต่อแบบ MOU ตามมติ ครม. แล้ว
บัตรสีชมพู คือบัตรอะไร ?...
Read More