ฝ่าวิกฤตงานก่อสร้าง สู่ธุรกิจที่ยั่งยืนต้องทำอย่างไร ?

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วโลกต้องเผชิญกับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากโรคระบาด วิกฤตราคาน้ำมัน ปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่หยุดชะงัก รวมไปถึงภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ได้ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขาดแคลนในบางช่วงเวลา และทำให้ผู้ประกอบการในวงการนี้ ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการบริหารจัดการ แต่ภายใต้แรงกดดันจากวิกฤตดังกล่าว กลับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เปิดโอกาสใหม่ ในการพัฒนาแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนได้ แต่จะทำอย่างไรให้ตอบโจทย์สถานการณ์ในปัจจุบันติดตามกันได้ในบทความนี้ 

ซึ่งจะพาไปถอดรหัสหัวข้อ “ ฝ่าวิกฤตงานก่อสร้าง สู่ธุรกิจที่ยั่งยืน ” โดย คุณนันทพัชร ณ สงขลา (Business Development Manager & Assistant to President) จาก FDI Group ที่ได้ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจ ในงาน The Future of Sustainable Construction , ESG & Net Zero material โดยได้รับเกียรติรับเชิญจากทาง ที.เอ.เอส คอร์ปอเรชั่น ให้ร่วมเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้อง Auditorium  อุทยานวิทยาศาสตร์ ประเทศไทย

FDI Group ขอร่วมแสดงความยินดีในโอกาสอันสำคัญนี้กับ ที.เอ.เอส คอร์ปอเรชั่น

จากการดำเนินงาน มุ่งพัฒนานวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า ที.เอ.เอส. เป็นผู้ผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยได้อย่างน่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่ง FDI ได้รับความไว้วางใจในการให้คำปรึกษาด้านการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ ยิ่งเป็นภาพตอกย้ำให้เห็นชัดเป็นที่ประจักษ์ ถึงความมุ่งมั่นและเจตนารมย์ที่ดีของ ที.เอ.เอส. ในการขับเคลื่อนสังคมสีเขียว ที่สำคัญคือความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ดีที่สุดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งต่อคุณค่าในมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมสังคมไทยและสังคมโลกโดยแท้จริง 

ภายในงานได้มีการจัดแสดง HERCULES  ที่สุดของนวัตกรรมอัจฉริยะ เครื่องผลิตฉนวนกันความร้อน ที่ควบคุมการผลิตด้วยโปรแกรมอัตโนมัติ และระบบเซ็นเซอร์ที่ทันสมัย รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อย่าง TECO ECO PLUS PU FOAM ที่ได้รับการรับรองขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างยิ่ง

ถอดรหัส “ ฝ่าวิกฤตงานก่อสร้าง สู่ธุรกิจที่ยั่งยืน ” 

โดยผู้เชี่ยวชาญจาก FDI Group 

โดยได้รับเกียรติจากทาง ที.เอ.เอส คอร์ปอเรชั่น ให้นำเสนอความรู้ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมงานก่อสร้าง ขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืน โดย คุณนันทพัชร ณ สงขลา ผจก.ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ จาก FDI Group ได้ให้ข้อมูลด้านนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า สถานการณ์อุตสาหกรรมการก่อสร้างในทุกวันนี้ ล้วนต้องเผชิญกับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจจากหลายปัจจัย โดยผลกระทบหลักทั้งเรื่องต้นทุน ภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนแรงงาน ราคาวัสดุก่อสร้างพุ่งสูงขึ้น ปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าคนที่แบกรับคือผู้ประกอบการ เมื่อแบกรับภาระหนี้เพิ่มขึ้น จะไปต่อก็ยาก หลายเจ้าเริ่มปิดตัวลงเพราะแบกรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นไม่ไหว ซึ่งผู้ประกอบการล้วนต้องหาทางออก ถ้าให้ทำทั้งหมดคงไม่ไหว แต่ทางออกที่ดีในตอนนี้คือ การมองหาโอกาสให้เจอ นั่นคือการเน้นไปที่ Green Building มันคือโอกาสที่ใหญ่มาก ที่เราต้องเร่งทำในทันที โดยยึด 3 หัวใจหลัก คือ 1.ค่าการถ่ายเทความร้อนรวมของผนังด้านนอกอาคาร (Overall Thermal Transfer Value, OTTV) 2.ค่าดัชนีการถ่ายเทความร้อนรวมของหลังคา (Roof Thermal Transfer Value, RTTV) 3.ค่ากำลังไฟฟ้าส่องสว่างสูงสุด (Lighting Power Density, LPD) ยึดดัชนีสำคัญ 3 ประเภท ในการพัฒนาอาคาร ที่เห็นได้ชัดเจน อย่างแบรนด์ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดตอนนี้หลายเจ้าที่ต่างเน้นพัฒนา บ้านประหยัดพลังงาน บ้านสีเขียว บ้านติดโซลาร์เซลล์ บ้านพลังงานสะอาดต่าง ๆ มาเป็นจุดขายโครงการ 

การสนับสนุนจาก สถาบันการเงินในไทยในตอนนี้ ก็ออกผลิตภัณฑ์ Green Loan ที่มาพร้อมกับเงื่อนไขทางการเงินที่เอื้อต่อผู้กู้ เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า พิเศษกว่าแน่นอน ระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนานขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าต้องการสนับสนุนธุรกิจที่ลงทุนในอุตสาหกรรมสีเขียวเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้เลยต้องการลงทุน ในผู้ประกอบการที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่น้อยลง 

ทางออกของผู้ประกอบการรายเล็กๆ ถ้าให้ทำทั้งหมดคงไม่สามารถทำได้ในมิติของ SDGs แต่ให้เน้นทำ 3 มิติหลัก คือ ESG (Environmental , Social , Governance) โดยเริ่มจากการประเมินว่าตัวเองอยู่ในมิติไหน จากนั้นดูศักยภาพที่มีว่าสามารถทำอย่างไรได้บ้าง ยกตัวอย่าง เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม คือการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากการบริหารจัดการในองค์กรและจากสินค้าที่ขาย ลดการใช้พลังงานลง ด้านสังคม เช่น การดูแลสวัสดิภาพ ความปลอดภัยพนักงาน การรับผิดชอบต่อพนักงานในองค์กรและสังคมมีความสอดคล้องกันหรือไม่? ด้านธรรมาภิบาล การบริหารความเสี่ยง ดูที่ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ดำเนินงานภายใต้จริยธรรมในธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ ESG จึงเป็นทางรอดของธุรกิจ

ทำไม ESG ถึงเป็นทางรอดของธุรกิจ ? 

ด้วย 2 เหตุผลหลักคือ

1.โอกาสที่เกิดขึ้นจากภาครัฐที่กำลังสนับสนุน 

• การลงทุนใน THAI ESG ของภาคประชาชนสามารถลดหน่อยภาษีได้ 200%
• การกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจสีเขียวมีโอกาสเติบโตได้มากกว่า
• มูลค่าการลงทุนโครงการสีเขียวจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐและสถาบันการเงินง่ายกว่า
• องค์กรต้องรายงานปริมาณก๊าซเรือนกระจกในพรบ.โลกร้อนที่กำลังจะประกาศใช้

2.ภาพรวมตลาดมีแนวโน้มอัตราการเติบโตสูง

เช่น การเปลี่ยนผ่านจากรุ่น สู่อีกรุ่น คือ GENZ กลุ่มที่มีกำลังในการซื้อถัดไป และมีการปรับตัวสู่แนวคิด Sustainable Living ผ่านกรอบ ESG (Environmental, Social, Governance) สูงขึ้น ส่งผลให้คนรุ่นอื่นๆ เริ่มให้ความสนใจด้านนี้มากขึ้น 

ทั้งหมดในการดำเนินงานที่กล่าวมา ต้องถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีกรอบระยะกำหนดที่ชัดเจน เพื่อการประเมิน ซึ่งถ้าหากคุณมองเห็นโอกาสแห่งอนาคตในความยั่งยืนในการเติบโตของธุรกิจ สามารถทำตามได้ด้วย 7 กลยุทธ์นี้ 

1.สร้างผลกระทบที่ดีอย่างยิ่งใหญ่ต่อองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด

2.สร้างความร่วมมือต่อคู่ค้า 

3.มีผลต่อธุรกิจหลักที่สามารถต่อยอดในเชิงธุรกิจได้ในอนาคต

4.มีทุนสนับสนุนและโอกาสสำหรับการลงทุน

5.การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและจับต้องได้

6..การทวนสอบได้ ตรวจสอบได้ โดยมีบุคคลภายนอกให้การรับรอง

7.สิ่งที่ทำต้องสร้างให้เกิดคุณค่าร่วมกับห่วงโซ่อุปทานและสังคม

โอกาสแห่งอนาคตที่คุณสามารถทำได้เลยในตอนนี้ !! 

อยากเริ่มทำไม่รู้จะเริ่มอย่างไรให้ถูกต้อง ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ตอนนี้ 

ช่องทางติดต่อ 

• Facebook : FDI Group – Business Consulting
• Line : @fdigroup
• Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
• E-mail : infojob@fdi.co.th
• Website : www.fdi.co.th