ทำนาข้าว..เกี่ยวข้องอย่างไร ? กับภาวะโลกร้อน ภาคเกษตรไทยต้องปรับตัวทิศทางไหนถึงลดก๊าซมีเทน

ทำนาข้าว..เกี่ยวข้องอย่างไร ? กับภาวะโลกร้อน ภาคเกษตรไทยต้องปรับตัวทิศทางไหนถึงลดก๊าซมีเทน

อย่างที่เราทราบกันดีว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก แต่คุณรู้หรือไม่ ? เบื้องหลังความสำเร็จด้านเศรษฐกิจจากภาคเกษตรกรรมนี้ กลับแฝงด้วยความท้าทายที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในเวทีโลก นั่นคือ การปล่อยก๊าซมีเทน (Methane: CH₄) จากนาข้าว โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ได้ให้ข้อมูลอย่างน่าสนใจว่า การทำนาข้าว ปลูกข้าวแบบดั้งเดิม “โดยเฉพาะนาน้ำขัง” ปล่อยน้ำท่วมขังตลอดช่วงการเจริญเติบโตของต้นข้าว เมื่อดินมีสภาพขาดออกซิเจน จุลินทรีย์บางชนิดจะผลิตก๊าซมีเทน (CH4) ออกมา ที่เป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า จากข้อมูลงานวิจัยระบุว่า การปลูกข้าวนั้นมีการปล่อยก๊าซมีเทนถึง 12% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าสนใจว่าทำไมการทำภาคเกษตรกรรมถึงเกิดปัญหานี้ขึ้นที่ส่งผลต่อโลกร้อนโดยตรง ในบทความนี้จะพาคุณไปไขข้อสงสัย พร้อมหาคำตอบไปพร้อมกัน 

ทำความรู้จักกับก๊าซเรือนกระจก หรือ greenhouse gas ที่สำคัญในชั้นบรรยากาศโลก ได้แก่

  • ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 
  • ก๊าซมีเทน (CH4) 
  • ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) 
  • ก๊าซฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) 
  • กลุ่มก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs)
  • ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6)
  • ก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3)

อ่านต่อ : ก๊าซเรือนกระจกคืออะไร ? ผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gas)

ไขข้อสงสัยทำไม “นาข้าว” ถึงปล่อยก๊าซมีเทน ?

การทำนาข้าวแบบดั้งเดิมในไทย ซึ่งนิยมใช้วิธี นาน้ำท่วมขัง (flooded rice paddies) เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่มีออกซิเจน (anaerobic) เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิดที่ย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน เช่น ฟางข้าว หรือปุ๋ยคอก แล้วปล่อยก๊าซมีเทนออกมา โดยเฉพาะในช่วงหลังการไถกลบตอซังและการเติมน้ำเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จุลินทรีย์ที่เรียกว่า Methanogens จะทำหน้าที่ย่อยสลายคาร์บอนในสภาพไร้อากาศ กลายเป็นก๊าซมีเทนลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

ซึ่งจากข้อมูลของ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ระบุว่า ในปี 2566 การทำนาข้าวคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ของการปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมดจากภาคเกษตรของไทย ซึ่งเทียบเท่ากับคาร์บอนไดออกไซด์หลายล้านตัน

 เหตุผลที่ต้องมีการจัดการก๊าซมีเทนในภาคเกษตรไทย

  • ภาคเกษตรของไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gas) สูง คิดเป็น 16% ของปริมาณการปล่อยก๊าซทั้งหมดของประเทศ ซึ่ง 51% มาจากการปลูกข้าว และการทำนาแบบดั้งเดิมที่มีน้ำขังทำให้เกิดก๊าซมีเทนสูงถึง 80% จึงต้องเร่งปรับกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยด่วน 
  • ไทยมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก ตามพันธกรณีในความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งรวมถึงการลดการปล่อยมีเทนในภาคเกษตร
  • ความต้องการของตลาดโลกเปลี่ยนไป หลายประเทศคู่ค้าเริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตอาหารที่ยั่งยืนและมีการปล่อยก๊าซต่ำ โดยเฉพาะสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งอาจกลายเป็นเงื่อนไขด้านการค้าในอนาคต
  • ต้นทุนการผลิตในอนาคต หากไม่สามารถควบคุมการปล่อยก๊าซได้ อาจนำไปสู่การเก็บภาษีคาร์บอนหรือมาตรการกีดกันทางการค้าจากต่างประเทศ

ความท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว ก้าวสำคัญของภาคเกษตรไทยเป็นมิตรต่อโลกอย่างยั่งยืน

วิธีการลดมีเทนในนาข้าวต้องทำอย่างไร ? 

ปัจจุบันมีหลายแนวทางที่นักวิจัย หน่วยงานรัฐ และเกษตรกรไทยได้ร่วมมือกันในการลดการปล่อยก๊าซมีเทนในภาคการทำนา โดยไม่กระทบต่อผลผลิต เช่น

1.การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (Alternate Wetting and Drying หรือ AWD)

วิธีนี้เป็นการจัดการน้ำแบบปล่อยน้ำลงนาเป็นช่วง ๆ แทนการท่วมขังตลอดเวลา วิธีนี้จะช่วยให้ดินมีออกซิเจนมากขึ้น ช่วยลดสภาพไร้อากาศในดิน ทำให้จุลินทรีย์ผลิตมีเทนลดลง โดยวิธีนี้สามารถลดการปล่อยมีเทนได้ถึง 30% และยังประหยัดน้ำได้อีกด้วย

2. การใช้ฟางข้าวอย่างเหมาะสม

การไถกลบฟางข้าวลงดินทันทีโดยไม่ปล่อยให้แห้ง อาจทำให้จุลินทรีย์ผลิตมีเทนมากขึ้น แนวทางที่แนะนำคือปล่อยให้ฟางแห้งก่อน หรือเปลี่ยนไปใช้วิธีหมักฟางทำน้ำหมักชีวภาพแทน ซึ่งจะช่วยให้เพิ่มอินทรียวัตถุในดินอีกด้วย 

3. การเลือกใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม

การใส่ปุ๋ยคอกและอินทรียวัตถุบางชนิดเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ที่ผลิตมีเทน การใช้ปุ๋ยในปริมาณพอเหมาะและผสมผสานกับปุ๋ยเคมีสามารถช่วยควบคุมการปล่อยก๊าซได้ ทำให้ต้นข้าวใช้ธาตุอาหารได้เต็มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียธาตุอาหารที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ 

4. ส่งเสริมการทำนาอินทรีย์

เกษตรกรบางรายเริ่มปรับเปลี่ยนไปสู่การทำนาอินทรีย์ ซึ่งเน้นการฟื้นฟูระบบนิเวศดิน ลดการใช้สารเคมี และมีการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้การปล่อยมีเทนลดลงในระยะยาวได้ 

ความคิดเห็นโดยผู้เชี่ยวชาญจาก FDI ในเรื่องของโอกาสใหม่ในตลาดโลก

แนวโน้มตลาดข้าวคาร์บอนต่ำ

แนวโน้มการค้าระหว่างประเทศในตอนนี้ ที่เห็นได้ชัดเลยตอนนี้อย่างในสหภาพยุโรป (EU) ที่ให้ความสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการใช้มาตรการอย่าง CBAM มาตรการปรับภาษีคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หนึ่งในโอกาสของไทยคือข้าวคาร์บอนต่ำ ที่เน้นการลดการปล่อยมีเทนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยแต่ละประเทศที่มีการส่งออกข้าว เริ่มมีการปรับเปลี่ยน เร่งพัฒนาปรับปรุง เพื่อให้ตอบโจทย์กับสถานการณ์ในปัจจุบัน ข้าวคาร์บอนต่ำไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ที่ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ด้วยการสนับสนุนและการพัฒนาที่เหมาะสม ประเทศไทยมีศักยภาพในหลายด้านที่จะเป็นผู้นำในตลาดข้าวคาร์บอนต่ำระดับโลก และสร้างความยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้เช่นกัน 

FDI Accounting & Advisory  ในฐานะที่ปรึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เราพร้อมให้การสนับสนุนทุกองค์กรธุรกิจที่มีเป้าหมายเพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเช่นเดียวกับเรา ในการเป็นที่ปรึกษาการทำธุรกิจ การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์ ที่ปรึกษาโครงการคาร์บอนเครดิต ภายใต้เงื่อนไขที่ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายและครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อให้ตอบโจทย์นโยบายของภาครัฐ รวมถึงเป้าหมายขององค์กร ในการปรับเปลี่ยนระบบการทำธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม สู่ความยั่งยืนโดยแท้จริง

ช่องทางติดต่อ 

  • Facebook : FDI Group – Business Consulting
  • Line : @fdigroup
  • Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
  • E-mail : infojob@fdi.co.th
  • Website : www.fdi.co.th

บทความที่น่าสนใจ

เข้าใจคาร์บอนเครดิตใน 5 นาที! กลไกสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง จึงจำเป็นและเป็นเรื่องที่สำคัญในการจัดการปัญหานี้โดยเร่งด่วน ซึ่ง...

Read More

“คาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้” ข้อกำหนดและกลไก รวมถึงตัวอย่างโครงการในไทย

ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวิกฤตโลกร้อนกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนของมนุษยชาติ ที่เราต่างต้องร่วมมือกันหาทางออกในการลดปัญหานี้โดยเร็ว ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน...

Read More