ความสำคัญ “Green Finance” เมื่อการเงินกลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ความสำคัญ “Green Finance” เมื่อการเงินกลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) กลายเป็นประเด็นเร่งด่วน ธุรกิจและภาคการเงินทั่วโลกถูกกดดันให้ประเมิน “ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม” Environmental Risk และผนวก ESG (Environmental, Social, Governance) เข้าในกลยุทธ์การดำเนินงาน ส่งผลให้การเงินสีเขียว (Green Finance) จึงกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้ สำหรับประเทศไทยในปี 2025 แนวโน้มนี้เริ่มเห็นแรงกระเพื่อมได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งจากนโยบายภาครัฐ ความตื่นตัวของภาคเอกชน และความต้องการของนักลงทุน ESG ที่ต้องการเลือกลงทุนในโครงการที่มีผลกระทบทางบวกต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับธุรกิจที่สนใจหรือกำลังมองหาโอกาส “Green Finance” จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่กลายเป็นเส้นทางสำคัญในการยกระดับความยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว

นโยบายภาครัฐ และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ในด้านโครงสร้าง “Sustainable Finance Initiatives for Thailand”

เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเงินสีเขียว ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาแผน “Sustainable Finance Initiatives for Thailand” ซึ่งมุ่งสนับสนุนให้ระบบการเงินไทยเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Transition) ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การกำหนดแนวทางให้สถาบันการเงินประเมินความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ทางการเงินสีเขียว (Green Products)

นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2025 ไทยได้เปิดตัว Thailand Taxonomy Phase II ซึ่งขยายขอบเขตของกิจกรรมที่ถูกจัดประเภทเป็น “สีเขียว / ยั่งยืน” ให้ครอบคลุมภาคเกษตรอุตสาหกรรม ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และการจัดการของเสีย ซึ่งรวมเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้ 95% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศอยู่ในกรอบการประเมินตาม Taxonomy ไทย

แนวทางเหล่านี้ช่วยตั้ง “กติกา” และ “เกณฑ์” ให้ตลาดการเงินสามารถจัดสรรเงินทุนไปยังโครงการที่สนับสนุนการลดคาร์บอนได้อย่างมีทิศทางและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น

 

เครื่องมือสำคัญอย่าง Green Bond , Sustainability –  Loan, Carbon Credit Financing ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม 

สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน เครื่องมือทางการเงินที่มีบทบาทสำคัญด้านการระดมและจัดสรรทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม  มีการจัดสรรเงินทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น 

  • Green Bond / Sustainability Bond: ตราสารหนี้ที่ระบุว่าส่วนเงินที่ได้จะนำไปใช้สนับสนุนโครงการสีเขียว เช่น พลังงานหมุนเวียน ระบบจัดการน้ำ อาคารเขียว ฯลฯ ตลาด ESG Bond ในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อมูลสำคัญในแต่ละปีผ่าน ThaiBMA ที่แสดงการออกตราสารสายเขียว (Green, Social, Sustainability Bonds)
  • Sustainability-Linked Loan (SLL): เป็นสินเชื่อที่เงื่อนไขดอกเบี้ยหรือประโยชน์พ่วงกับการทำตามเป้าหมาย ESG (เช่น ต้องลดการปล่อยก๊าซได้ตามตัวชี้วัด)
  • Carbon Credit Financing / Carbon Offset: โดยเฉพาะในกรณีที่โครงการสีเขียวยังมีการปล่อยก๊าซหลงเหลือ จะใช้การชดเชย (offset) ผ่านการซื้อเครดิตคาร์บอนจากโครงการที่เชื่อถือได้ (เช่น ฟื้นฟูป่า, พลังงานสะอาด)

ซึ่งเครื่องมือทางการเงินเหล่านี้ ช่วยให้ผู้ประกอบการที่ต้องการทำโครงการสีเขียวสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ตรงประเด็น และนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในโครงการที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมได้ รวมถึงมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น 

 

ตัวอย่างการดำเนินงานของ ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกสิกรไทย กับโครงการ Green Finance Framework

ในภาคธนาคารไทย เราเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวที่จับต้องได้:

  • กสิกรไทย (KBank) ได้ออก Green Finance Framework รุ่นปี 2025 ที่กำหนดประเภทโครงการที่เข้าข่ายลงทุนสีเขียว ขั้นตอนคัดเลือก จัดการเงินที่ได้มา และการรายงานผล ซึ่งได้รับ การตรวจสอบภายนอก (Second Party Opinion) เพื่อยืนยันความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น Green Bond Principles และ Green Loan Principles สำหรับ KBank ได้ตั้งเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อสีเขียวให้เติบโตเพิ่มมากขึ้น 
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ก็มีผลงานโดดเด่น โดยประกาศว่าได้ทำยอด Sustainable Finance สูงกว่า 180,000 ล้านบาท ภายใน 2.5 ปี ซึ่งเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ในแผน 3 ปี

ประโยชน์ต่อธุรกิจในการเข้าถึงเงินทุนสีเขียว การลดต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือทาง ESG ส่งผลอย่างไรบ้าง 

  • ช่วยเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุนที่เงื่อนไขดีขึ้น : ด้วย Green Finance ธุรกิจสามารถเข้าถึงสินเชื่อ ดอกเบี้ย หรือเงื่อนไขพิเศษ โดยเฉพาะหากโครงการมีศักยภาพด้านสิ่งแวดล้อมสูง
  • เป็นการลดต้นทุนในระยะยาว : โดยการประเมิน ปรับเปลี่ยน การใช้พลังงานให้น้อยลง มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการทำงานซ้ำซ้อน ช่วยลดต้นทุนดำเนินงานในระยะยาวได้
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือ : การใช้เครื่องมือ Green Finance พร้อมรายงานผล ESG ทำให้ผู้ลงทุน ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรับรู้ว่าองค์กรมีแนวทางที่ชัดเจนต่อความยั่งยืน รวมถึงมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้
  • เตรียมพร้อมในเรื่องของกฎหมายและมาตรฐานในอนาคต : เมื่อกฎระเบียบ ESG / Carbon Tax / กฎการเปิดเผยข้อมูลทางสิ่งแวดล้อมเข้มงวดขึ้น ธุรกิจที่มีพื้นฐาน Green Finance จะพร้อมรับมือได้ตรงประเด็น สามารถรับมือ ดำเนินการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

บทสรุป Green Finance ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “เงื่อนไขใหม่ของระบบเศรษฐกิจ” ที่ต้องจับตา

ภายในปี 2025 ไทยกำลังเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อวางรากฐานให้ระบบการเงินรองรับกิจกรรมสีเขียวได้  ผ่านนโยบาย Taxonomy ที่เข้มข้นขึ้น จากภาครัฐ เครื่องมือทางการเงินหลายรูปแบบที่ถูกใช้งานจริง และกรณีตัวอย่างของธนาคารและธุรกิจที่เริ่มใช้กรอบ Green / Blue Finance เป็นตัวขับเคลื่อนมากขึ้น 

 “Green Finance กลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ภาครัฐโดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดแนวทาง Sustainable Finance Initiatives for Thailand และขยาย Thailand Taxonomy Phase II เพื่อให้สถาบันการเงินและธุรกิจไทยจัดสรรเงินทุนไปสู่กิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันแรงกดดันจากตลาดโลกและนักลงทุน ESG ก็ผลักดันให้ภาคธุรกิจเร่งปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากมาตรการอย่าง CBAM ของยุโรป การลงทุนผ่าน Green Bond หรือสินเชื่อสีเขียวจึงเติบโตต่อเนื่อง เพราะช่วยให้องค์กรเข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำและเพิ่มความน่าเชื่อถือทาง ESG ทั้งยังสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การลดคาร์บอน และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในอนาคต Green Finance จะไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” แต่คือ “กลไกหลัก” ของระบบเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงธุรกิจ การเงิน และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน

 

ช่องทางติดต่อ 

  • Facebook : FDI Group – Business Consulting
  • Line : @fdigroup
  • Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
  • E-mail : infojob@fdi.co.th
  • Website : www.fdi.co.th

บทความที่น่าสนใจ