ในโลกที่ผู้บริโภคเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นว่า “ สินค้าที่ฉันใช้มาอย่างไร ? ” ธุรกิจที่ไม่แค่ผลิตสินค้าให้สวยงามอีกต่อไป แต่ยังต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน ถ้าหากทำได้ จะเป็นธุรกิจที่ได้เปรียบในระยะยาว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ โดยมาตรฐาน RJC หรือ Responsible Jewellery Council กลายเป็นมาตรฐานที่ผู้ผลิต ผูัมีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงผู้ค้าเครื่องประดับ อัญมณี ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ เพราะ RJC ไม่ใช่แค่ “มาตรฐานรับรอง” แต่คือ “การแสดงวิสัยทัศน์ขององค์กร” ต่อความโปร่งใส ที่ตรวจสอบได้ด้วยมาตรฐาน การประกอบธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล การให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
แล้วมาตรฐาน RJC คืออะไร ?
RJC (Responsible Jewellery Council) คือ องค์กรระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหาผลกำไร โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนามาตรฐานความรับผิดชอบทางจริยธรรม สังคม และสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ โดยสมาชิกของ RJC ครอบคลุมตั้งแต่เหมืองแร่ ผู้ผลิตโลหะมีค่า โรงงานผลิต ไปจนถึงร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ทั่วโลก เช่น Cartier, Tiffany & Co., และ De Beers ปัจจุบัน มีสมาชิกมากกว่า 2,000 บริษัท จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ซึ่งทุกบริษัทต้องปฏิบัติตามมาตรฐานของ RJC เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและโลกใบนี้
RJC กับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ที่ไม่ใช่แค่เครื่องประดับสวยงามอย่างเดียว แต่ต้องตอบโจทย์ความยั่งยืนด้วย
หลักการปฏิบัติของ RJC (RJC Code of Practices) โดยหลักการปฏิบัติมีทั้งหมด 4 ด้าน ที่มุ่งเน้นเป็นหลัก คือ ด้านจริยธรรมทางธุรกิจ , ด้านสิทธิมนุษยชนและการดำเนินงานทางสังคม , ด้านการดำเนินงานทางสิ่งแวดล้อม เช่น การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม , ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ , จัดการของเสียและมลพิษอย่างเหมาะสม และด้านระบบการบริหารจัดการ โดยในบทความนี้เราจะเจาะลึกข้อมูล รวมถึงเนื้อหาที่น่าสนใจ “ด้านการดำเนินงานทางสิ่งแวดล้อม”
สำหรับมาตรฐาน RJC ไม่ได้จำกัดอยู่แค่จริยธรรมและสิทธิมนุษยชน แต่ยังครอบคลุม “ในด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายธุรกิจเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคที่โลกร้อนมากขึ้นทุกวัน รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
โดย SCS Global ได้ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจ ในประเด็นสิ่งแวดล้อมในมาตรฐาน RJC ได้แก่
- การจัดการของเสียและสารเคมีอันตราย ในกระบวนการผลิต เช่น การชุบ การขัดเงา ฯลฯ
- การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- การอนุรักษ์น้ำและการจัดการน้ำเสีย
- การจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งที่ยั่งยืน เช่น โลหะรีไซเคิล หรือเหมืองที่ได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม
- การลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ซึ่งประเด็นนี้ต่าง ๆ นี้ จะถูกบังคับใช้ผ่าน RJC Code of Practices (COP) โดยเป็นมาตรฐานหลักที่สมาชิก RJC ต้องผ่านการตรวจประเมินจากหน่วยงานภายนอกในทุก 3 ปี
โอกาสสำคัญของธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องประดับในไทย ถ้าทำได้มีความได้เปรียบอย่างไร
อุตสาหกรรมจิวเวลรี่ในประเทศไทยจะมีจุดแข็งด้านฝีมือ แรงงานฝีมือ และต้นทุน แต่ในยุคที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของ ESG และ Carbon Footprint ถ้าหากผลิตสินค้าที่เพียงแค่ “สวยงาม” และ “ราคาถูก” อาจไม่เพียงพออีกต่อไป
การเข้าสู่มาตรฐาน RJC จะช่วยให้ธุรกิจในไทยเติบโตขึ้นได้อย่างไร
- สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน ที่ไม่ใช่แค่สามารถแข่งขันได้ราคาดี แต่ยังได้โอกาส มีความได้เปรียบทางการตลาดมากขึ้น
- เพิ่มโอกาสเข้าร่วมในซัพพลายเชนในระดับสากล ของแบรนด์หรูและรีเทลระดับโลก
- ลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าในอนาคต เช่น กฎหมายของ EU และสหรัฐฯ ที่คุมเข้มเรื่องวัตถุดิบจากพื้นที่ความขัดแย้ง (Conflict Minerals)
- สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคยุคใหม่ ผู้ซื้อจำนวนมากให้ความสำคัญกับ “ที่มา” ของวัตถุดิบ หากผลิตภัณฑ์มีตรารับรองจาก RJC จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการขายได้มากขึ้น
- ตอบโจทย์ ESG และ SDGs มาตรฐานของ RJC ช่วยเสริมให้บริษัทสอดคล้องกับแนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) และเป้าหมาย SDGs ของสหประชาชาติ เช่น SDG 12 (การบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน), SDG 13 (การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ)
- เสริมแบรนด์ภาพลักษณ์ “Green Jewellery” ที่สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นขององค์กรในการให้ความสำคัญประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม
ซึ่งจากโอกาสต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีข้อดีอีกมากมาย รวมถึงเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ขององค์กร ทิศทางในการดำเนินงานที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ที่สำคัญเป็นการมุ่งเน้นด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นอีกด้วย
ความยั่งยืนไม่ใช่ต้นทุน แต่คือ “โอกาส” ทางธุรกิจในระยะยาว เริ่มก่อนได้เปรียบกว่า !
ในฐานะที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน FDI Group ขอแนะนำว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันไม่อาจมองข้ามเรื่อง ESG และการจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้อีกต่อไป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ โลหะมีค่า และการผลิต ที่กำลังเผชิญกับความคาดหวังจากผู้บริโภค นักลงทุน และคู่ค้า ที่ต้องการ “ความโปร่งใสและความรับผิดชอบ”
การเข้าสู่มาตรฐาน RJC เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่แสดงถึงความจริงใจขององค์กรในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน แต่เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง เราขอแนะนำให้ผู้ประกอบการ
- เริ่มต้นประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization)
- วางแผนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ
- สร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งความยั่งยืน
เพราะ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่ต้นทุนทางการเงิน แต่คือการลงทุนระยะยาวที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เพิ่มความเชื่อมั่น และยกระดับภาพลักษณ์องค์กรในสายตาตลาดโลก หากคุณกำลังมองหาที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่พร้อมสนับสนุนตั้งแต่การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การจัดเก็บข้อมูล การอบรมภายใน ไปจนถึงการวางแผนในระยะยาว สามารถขอรับคำปรึกษากับเราได้เช่นกัน
FDI Group พร้อมเคียงข้างธุรกิจของคุณในทุกก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ช่องทางติดต่อ
- Facebook : FDI Group – Business Consulting
- Line : @fdigroup
- Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
- E-mail : infojob@fdi.co.th
- Website : www.fdi.co.th
บทความที่น่าสนใจ
SDGs x ESG เชื่อมโยงเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของโลกและอนาคตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
เมื่อโลกเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อน ดูทีท่าจะแก้ยากมากขึ้น ทั้งความยากจน...
Read Moreอุตสาหกรรม Jewelry ต้องทำ! ปรับโรงงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โอกาสสร้างกำไรอย่างยั่งยืน
เพิ่มกำไรอย่างยั่งยืนให้กับโรงงาน Jewelry กับสิ่งแวดล้อม...
Read MoreCBAM Certificate คืออะไร ? ปี 69 “CBAM เริ่มภาคบังคับ” เอกสารสำคัญที่ผู้ส่งสินค้าไปยุโรปต้องรู้
จากบทความก่อนที่ FDI พาไปเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับ...
Read More