พลังงานสะอาด Clean Energy คืออะไร ทางออกที่น่าสนใจยุคนี้จริงหรือ?

พลังงานสะอาด Clean Energy คืออะไร ทางออกที่น่าสนใจยุคนี้จริงหรือ?

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับพลังงานสะอาดในหลากหลายมิติ ที่จะช่วยตอบคำถาม รวมถึงคลายความสงสัยให้คุณได้มากขึ้นว่าทำไมบริษัทใหญ่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ หันมาลงทุนในพลังงานสะอาดกันมากยิ่งขึ้น อะไรคือความน่าสนใจ ถ้าได้อ่านบทความนี้ไม่ตกขบวนแน่นอน 

อ่านบทความนี้จะได้ความรู้เรื่องอะไรบ้าง

  • เข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลของพลังงานสะอาด ความสำคัญ และประเภท
  • แนวโน้มพลังงานสะอาดของโลก รวมถึงประเทศไทย 
  • พลังงานสะอาด และ พลังงานฟอสซิล แตกต่างกันอย่างไรบ้าง 
  • ประโยชน์จากการใช้พลังงานสะอาด ข้อดีและข้อจำกัดของพลังงานสะอาด

พลังงานสะอาด คืออะไร ? สำคัญหรือเป็นทางออกที่น่าสนใจอย่างไรท่ามกลางวิกฤตการณ์เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

พลังงานสะอาด หรือ Clean Energy คืออะไร

“พลังงานสะอาด” หมายถึง พลังงานที่ผลิตขึ้นใหม่ ไม่มีหมด ไม่ก่อให้เกิดมลพิษหรือมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับต่ำมาก เมื่อเทียบกับพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยทั่วไป ลักษณะสำคัญของพลังงานสะอาด มีลักษณะที่สำคัญ 4 ข้อหลักๆ คือ

  1. ปล่อยคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) หรือแทบไม่ปล่อยเลย
  2. มีแหล่งที่มาแบบหมุนเวียน (Renewable Source) เช่น แสงอาทิตย์ ลม น้ำ หรือชีวมวล 
  3. ไม่สร้างของเสียอันตรายและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำมาก ต่ออากาศ น้ำ หรือดิน
  4. มีความปลอดภัยและยั่งยืน มีความเสี่ยงต่ำมาก ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมนุษย์และสัตว์ สิ่งแวดล้อม 

แนวโน้มพลังงานสะอาดของโลก

รายงานจาก International Energy Agency (IEA) ระบุว่า ในปี 2024 พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกคิดเป็นกว่า 30% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2030 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างพลังงานที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่น ต่างประกาศนโยบาย “Net Zero Emissions” ภายในปี 2050–2060 โดยมีการลงทุนมหาศาลในพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฮโดรเจน รวมถึงระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ที่ช่วยให้พลังงานสะอาดสามารถจ่ายไฟได้ต่อเนื่องแม้ไม่มีแสงอาทิตย์หรือลม

สถานการณ์และนโยบายพลังงานสะอาดของประเทศไทย

ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมาย “Carbon Neutrality ภายในปี 2050” และ “Net Zero GHG Emissions ภายในปี 2065” โดยมีนโยบายหลักคือการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ได้อย่างน้อย 50% ของพลังงานทั้งหมดในระบบไฟฟ้า

โครงการสำคัญของภาครัฐ เช่น

  • โครงการโซลาร์ภาคประชาชน (Solar Rooftop Program) สนับสนุนให้ประชาชนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาเพื่อลดค่าไฟ
  • โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมให้เกษตรกรนำวัสดุเหลือใช้มาผลิตพลังงานชีวมวล
  • การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่กระจายตัว

นอกจากนี้ ยังมีการผลักดัน ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะช่วยลดความต้องการใช้น้ำมันและก๊าซในภาคคมนาคมอย่างมีประสิทธิภาพ

 

ประเภทของพลังงานสะอาดที่สำคัญ 

1. พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy)

พลังงานแสงอาทิตย์ถือเป็นพลังงานสะอาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกปัจจุบัน การแปลงพลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าทำได้ผ่าน แผงโซลาร์เซลล์ (Photovoltaic Cells) ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและต้นทุนต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
ในประเทศไทย เราอยู่ในเขตภูมิอากาศที่มีศักยภาพสูงด้านพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง ซึ่งมีแสงแดดเฉลี่ยมากกว่า 5 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตารางเมตรต่อวัน เหมาะกับการติดตั้งทั้งในระดับครัวเรือน โรงงาน และฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่

2. พลังงานลม (Wind Energy)

พลังงานลมถูกนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าผ่านกังหันลม ซึ่งหมุนตามแรงลมและเปลี่ยนพลังงานจลน์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ประเทศไทยมีการพัฒนาโครงการฟาร์มกังหันลมในหลายจังหวัด เช่น นครราชสีมา ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์ ซึ่งมีกำลังผลิตรวมหลายร้อยเมกะวัตต์ การผลิตพลังงานลมช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ

3. พลังงานน้ำ (Hydropower)

พลังงานน้ำเป็นพลังงานสะอาดที่ใช้กันมายาวนาน โดยเฉพาะในเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพลในประเทศไทย ข้อดีคือสามารถผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่องและมั่นคง แต่ก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนโดยรอบ เช่น การเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำและการย้ายถิ่นของสัตว์น้ำ

4. พลังงานชีวมวล (Biomass Energy)

พลังงานชีวมวลผลิตจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น แกลบ ฟางข้าว หรือเศษไม้ นำมาเผาไหม้เพื่อผลิตไฟฟ้าและความร้อน หรือแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) เช่น เอทานอล และไบโอดีเซล ถือเป็นแนวทางที่ช่วยให้ภาคเกษตรสร้างรายได้เสริมจากของเหลือใช้และลดปัญหาการเผาในที่โล่ง

5. พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy)

เป็นพลังงานที่ใช้ความร้อนจากใต้ผิวโลกในการผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อน เหมาะกับประเทศที่มีภูเขาไฟหรือแหล่งพลังงานใต้ดินสูง เช่น ญี่ปุ่น ไอซ์แลนด์ หรืออินโดนีเซีย สำหรับประเทศไทย แม้ยังมีศักยภาพจำกัด แต่ก็เริ่มมีการศึกษาในบางพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันตก

ประโยชน์ของพลังงานสะอาดต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

1. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

พลังงานสะอาดช่วยลดการปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน โดยทุก ๆ เมกะวัตต์ของไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาดแทนถ่านหิน สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากถึง 1,000 ตันต่อปี

2. ลดมลพิษทางอากาศและสุขภาพของประชาชน

การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลปล่อยสารพิษ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และฝุ่น PM2.5 การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดช่วยลดมลพิษเหล่านี้ได้โดยตรง ส่งผลให้คุณภาพอากาศดีขึ้นและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข

3. สร้างงานใหม่ในอุตสาหกรรมสีเขียว

ภาคพลังงานสะอาดเปิดโอกาสให้เกิด “Green Jobs” เช่น วิศวกรพลังงาน นักวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม ผู้เชี่ยวชาญด้าน ESG และที่ปรึกษาคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นอาชีพแห่งอนาคตที่ทั่วโลกต้องการ

4. ลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน

ประเทศไทยต้องนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี การเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดจึงช่วยเสริม ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) และลดความเสี่ยงจากราคาพลังงานโลกที่ผันผวน

 

ข้อเสียและข้อจำกัดของพลังงานสะอาด

1.ต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นสูง (High Initial Cost)

แม้ว่าต้นทุนต่อหน่วยไฟฟ้าของพลังงานสะอาดจะลดลงมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่การเริ่มต้นลงทุนยังคงสูงเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าฟอสซิลในบางกรณี เช่น

  • การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือกังหันลมต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในช่วงแรก
  • ระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Storage System) มีราคาสูงและต้องบำรุงรักษา

ผลกระทบ:

  • ภาคธุรกิจขนาดกลาง–เล็ก (SMEs) หรือชุมชนอาจไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่าย
  • ต้องพึ่งพาเงินกู้หรือมาตรการสนับสนุนจากรัฐ เช่น เงินอุดหนุนภาษี หรือสินเชื่อสีเขียว (Green Finance)

 

2.การใช้พื้นที่จำนวนมาก (Land Use Requirement)

พลังงานสะอาดบางประเภทต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ในการติดตั้ง เช่น

  • ฟาร์มโซลาร์เซลล์ต้องใช้พื้นที่กว้างเพื่อให้ได้กำลังผลิตสูง
  • ฟาร์มกังหันลมต้องมีระยะห่างระหว่างกังหันแต่ละต้น
  • เขื่อนพลังน้ำขนาดใหญ่กระทบต่อพื้นที่ชุมชนและระบบนิเวศ

ผลกระทบ:

  • อาจเกิดการ “แข่งขันใช้ที่ดิน” ระหว่างการเกษตร การอยู่อาศัย และการผลิตพลังงาน
  • ในบางกรณีส่งผลให้ต้องโยกย้ายประชาชน หรือเปลี่ยนระบบนิเวศในท้องถิ่น

 

3.ปัญหาการจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage Limitation)

เพื่อให้พลังงานสะอาดใช้งานได้ต่อเนื่อง จำเป็นต้องมีระบบกักเก็บพลังงาน เช่น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Li-ion Battery) หรือ เทคโนโลยีไฮโดรเจน (Hydrogen Storage)
แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเหล่านี้ยังมีข้อจำกัดคือ

  • ราคาสูงมาก
  • มีอายุการใช้งานจำกัด
  • การผลิตแบตเตอรี่เองก็ปล่อยคาร์บอนและใช้แร่ธาตุหายาก (Rare Earth Materials) เช่น ลิเธียม โคบอลต์ นิกเกิล

ผลกระทบ:

  • ต้นทุนรวมของระบบพลังงานสะอาดสูงขึ้น
  • การจัดการของเสียจากแบตเตอรี่กลายเป็นประเด็นสิ่งแวดล้อมใหม่

 

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ด้านแนวทางสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน

จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็น “การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (Systemic Transition)” ที่ต้องอาศัยการบูรณาการของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน

1. สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ

การส่งเสริมมาตรการภาษีและเงินอุดหนุน เพื่อสนับสนุนการลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่ติดตั้งระบบโซลาร์ หรือการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียน

2. พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานพลังงานอัจฉริยะ

เพื่อรองรับพลังงานที่ผลิตจากหลายแหล่งพร้อมกัน จำเป็นต้องลงทุนในระบบ Smart Grid และ Energy Storage เพื่อให้การจ่ายไฟมีความเสถียรและปลอดภัย

3. ส่งเสริมความรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน

พลังงานสะอาดไม่ใช่เรื่องของภาครัฐหรือภาคเอกชนเท่านั้น แต่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ ตั้งแต่การติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน ไปจนถึงการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

4. พัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดภายในประเทศ

ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตอุปกรณ์พลังงาน เช่น แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และระบบกักเก็บพลังงาน หากได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและเงินทุน ก็สามารถกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตพลังงานสะอาดในภูมิภาคอาเซียนได้

5. ใช้กรอบ ESG และ SDGs เป็นเครื่องมือบริหารพลังงาน

องค์กรธุรกิจควรนำหลัก ESG (Environment, Social, Governance) และเป้าหมาย SDGs ของสหประชาชาติ มาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายพลังงาน เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

พลังงานสะอาดไม่ใช่เพียงเทรนด์ของโลกยุคใหม่ แต่คือ “ความจำเป็น” ที่จะกำหนดอนาคตของมนุษยชาติในศตวรรษนี้ การเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดต้องอาศัยเวลา ความร่วมมือ และวิสัยทัศน์ระยะยาว สำหรับประเทศไทย การลงทุนในพลังงานสะอาดไม่เพียงช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกระดับ

“พลังงานสะอาดจึงไม่ใช่เพียงพลังงานทางเลือก แต่คือพลังงานแห่งอนาคต ที่เราทุกคนต้องร่วมกันขับเคลื่อนวันนี้ เพื่อโลกที่ดีกว่าสำหรับวันพรุ่งนี้”

ช่องทางติดต่อ 

  • Facebook : FDI Group – Business Consulting
  • Line : @fdigroup
  • Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
  • E-mail : infojob@fdi.co.th
  • Website : www.fdi.co.th