กุญแจสู่ความยั่งยืนในธุรกิจยุคใหม่ ต้องทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร เปลี่ยนองค์กรสู่ความยั่งยืน
ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ธุรกิจต่าง ๆ ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความคาดหวังของสังคมที่มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการดำเนินกิจการภายใต้ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำธุรกิจที่ส่งผลดีต่อสังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงข้อกำหนด นโยบาย กฏหมายจากภาครัฐ ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กร สามารถก้าวสู่ความยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม นั่นก็คือ การทำ คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint for Organization) ซึ่งไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นโอกาสใหม่ที่ดีในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ
“การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นในธุรกิจยุคใหม่ องค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนจะได้รับผลประโยชน์ทั้งด้านการเงินและภาพลักษณ์ พร้อมก้าวสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกับโลกใบนี้”
คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรคืออะไร?
คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร หมายถึง การวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas – GHG) จากกิจกรรมทั้งหมดขององค์กรในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยครอบคลุมกิจกรรมหลัก เช่น การใช้พลังงาน การจัดการของเสีย และการขนส่ง การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรทราบถึงแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซและสามารถกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ อ่านต่อ บริการด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก
ทำไมองค์กรต้องทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องทำ ?
ถ้าในสถานการณ์ปัจจุบันก็ต้องบอกว่ามีความจำเป็นที่ธุรกิจต้องทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ส่งออกสินค้าไปสหภาพยุโรป ในกลุ่ม ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และไฮโดรเจน รวมถึงภาคพลังงาน เกษตร และที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อลดการกีดกันทางการค้า รวมถึงโอกาสทางธุรกิจอีกมากมาย ในความจำเป็นสรุปได้ 5 ข้อหลักๆ คือ
1.การปฏิบัติตามข้อกำหนด นโยบาย กฏหมาย
สอดคล้องกับข้อกำหนดนโยบายของระเทศไทย ที่มุ่งเข้าสู้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 และองค์กรธุรกิจ เตรียมรับมือกับ พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ ภาษีคาร์บอน รวมไปถึงมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป
2.ลดการกีดกันทางการค้า หรือ การเสียภาษีส่งออกในอัตราที่สูง
ธุรกิจที่มีการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศจำเป็นต้องทำทั้งคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์และองค์กร เนื่องจากลดการกีดกันมาตรการทางการค้าจากนานาประเทศที่ใช้มาตรการนี้ เช่น CBAM
3.การสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและสังคม
ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์แสดงถึงความโปร่งใสและความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นการสร้างโอกาสเติบโตของธุรกิจในอนาคต เพราะถ้าโลกนี้อยู่ได้ ธุรกิจก็ไปต่อได้เช่นกัน
4.การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
การวิเคราะห์การปล่อยคาร์บอนช่วยให้องค์กรระบุจุดที่สิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากร ซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
5.สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในการเข้าสู่ตลาดสีเขียว
การมุ่งสู่ความยั่งยืนช่วยเปิดประตูสู่ตลาดที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เช่น ตลาดสินค้าสีเขียว (Green Products) และโครงการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม
ความท้าทายและโอกาสในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร
หากพูดกันในประเด็นความท้าทายของการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในองค์กร แม้ว่ากระบวนการนี้จะนำไปสู่ประโยชน์มากมายในด้านความยั่งยืนและโอกาสทางธุรกิจ แต่ก็มีความท้าทายหลายเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ทั้งด้าน การจัดการวางแผนที่ต้องครอบคลุมในทุกมิติ ตอบโจทย์ สอดคล้องไปกับนโยบายบริษัท การปรับรูปแบบการดำเนินงานทั้งองค์กร ซึ่งถือเป็นความท้าทายในการจัดการที่องค์กรต้องเผชิญ ซึ่งเราจะพูดถึงประเด็นนี้ รวมถึงแนวทางการแก้ไข เพื่อให้องค์กรที่สนใจได้นำไปปรับใช้ได้จริง
1.ความซับซ้อนของกระบวนการเก็บข้อมูล
การเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกิจกรรมขององค์กร เช่น การใช้พลังงาน การขนส่ง หรือการจัดการของเสีย ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อน โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีกิจกรรมหลากหลาย และมีห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนกัน
แนวทางแก้ไข:
- ใช้ระบบหรือซอฟต์แวร์ที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างอัตโนมัติ
- ให้ความรู้และอบรมทีมงานเพื่อเพิ่มความเข้าใจในกระบวนการเก็บข้อมูล เพื่อให้พนักงานในทุกระดับในองค์กรมองเห็นเป้าหมาย มีความเข้าใจลึกซึ้งในประเด็นนี้ เพื่อให้เกิดการทำงานที่ตรงจุด ตอบโจทย์ธุรกิจ อย่างยั่งยืนในระยะยาวได้
2. ขาดความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
องค์กรบางแห่งอาจขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการคำนวณและการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ รวมถึงการใช้มาตรฐานสากล เช่น ISO 14064 หรือ GHG Protocol
แนวทางแก้ไข:
- จัดอบรมหรือส่งบุคลากรเข้าร่วมหลักสูตรเฉพาะทางโดยใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา
- การจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญภายนอกเพื่อช่วยนำกระบวนการไปปฏิบัติ
FDI ผู้เชี่ยวชาญด้านที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ติดต่อเรา !!
3. ต้นทุนในการดำเนินการ
การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์มักต้องใช้งบประมาณในด้านการเก็บข้อมูล การจัดทำรายงาน และการลงทุนในเทคโนโลยีหรือโครงการลดการปล่อยก๊าซ ซึ่งอาจเป็นภาระสำหรับองค์กรขนาดเล็กหรือองค์กรที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ในส่วนนี้สามารถชักชวนคู่ค้าที่มีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจ ส่งเสริมการดำเนินงานด้าน ESG เพื่อความยั่งยืนในการร่วมทุน ก็จะสามารถระดมทุนให้การดำเนินงานในการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้ราบรื่นต่อได้
แนวทางแก้ไข:
- เริ่มต้นจากการประเมินในระดับเล็ก ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ ขยายขอบเขตเมื่อองค์กรมีความพร้อม
- มองหาสนับสนุนทางการเงินจากหน่วยงานรัฐบาลหรือโครงการสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ
4. การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร สร้างความเข้าใจที่ตรงกัน โดยมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันอย่างตรงจุดและชัดเจน
การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่ายในองค์กร ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงพนักงานระดับปฏิบัติการ การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและทัศนคติของพนักงานอาจเป็นเรื่องท้าทาย
แนวทางแก้ไข:
- สร้างความตระหนักรู้ผ่านการอบรมและการสื่อสารภายในองค์กร การทำแบบทดสอบต่าง ๆ ที่สามารถวัดผลได้
- ส่งเสริมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เช่น การปลูกต้นไม้หรือการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หรือ การทำกิจกรรมเพื่อสังคม ชุมชน ร่วมกัน โดยทำโครงการที่มีส่วนร่วมระหว่างชุมชน องค์กร ในระยะยาว
5. การจัดการกับความไม่แน่นอนทางกฎหมายและนโยบาย
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายและนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในแต่ละประเทศอาจส่งผลต่อแนวทางการดำเนินงานขององค์กร เช่น การกำหนดอัตราภาษีคาร์บอนหรือข้อกำหนดการลดก๊าซเรือนกระจก
แนวทางแก้ไข:
- ติดตามข่าวสารและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างใกล้ชิด
- วางแผนการดำเนินงานที่ยืดหยุ่นเพื่อปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง
- มีที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
6. ความซับซ้อนในการเก็บข้อมูลของห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง เรื่องของการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
การรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น นักลงทุน ลูกค้า หรือชุมชน ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานกับการจัดหาวัตถุดิบ การขนส่ง และการผลิตสินค้า อาจทำให้การวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรเป็นเรื่องยุ่งยากมีความซับซ้อนในการเก็บข้อมูล โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์หลายรายในการทำงาน อาจเป็นเรื่องท้าทายหากข้อมูลไม่ชัดเจน ไม่ครบถ้วน หรือสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เข้าใจได้ไม่ตรงกัน
แนวทางแก้ไข:
- สื่อสารและร่วมมือกับซัพพลายเออร์เพื่อรวบรวมข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- เลือกซัพพลายเออร์ที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่ตรวจสอบได้
- จัดทำรายงานที่โปร่งใสและเข้าใจง่าย โดยใช้รูปแบบกราฟิกหรือสถิติที่เป็นมิตรต่อผู้อ่าน
- เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในโครงการลดคาร์บอนขององค์กร
แม้ว่าการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรจะมาพร้อมกับความท้าทายหลายประการ แต่อุปสรรคเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบ การมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกระดับ และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้จะนำไปสู่ความยั่งยืนและการเติบโตที่มั่นคงขององค์กรในอนาคต
โอกาสของธุรกิจในภาพรวม จากการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร
จริง ๆ แล้ว ในปัจจุบันนี้ ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ที่ให้องค์กรเริ่มปรับตัว เริ่มดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคสมัครใจ ยังไม่ได้มีกฏหมายภาคบังคับในเรื่องของการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์แบบภาคบังคับ ซึ่งข้อกฏหมายยังอยู่ในร่าง พ.ร.บ. อันจะนำมาสู่การบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ การทำOrganization's Carbon Footprintไม่ได้เป็นเพียงข้อกำหนดเพื่อความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปิดโอกาสมากมายสำหรับองค์กรในด้านการดำเนินธุรกิจ การสร้างภาพลักษณ์ และการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งในทุกองค์กรต่างควรจะคว้าโอกาสนี้ไว้ เพื่อสร้างการยั่งยืนในระยะยาวให้กับธุรกิจ
1.ส่งเสริมความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์องค์กรจากคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงผู้บริโภค
การแสดงความมุ่งมั่นต่อการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรในสายตาของผู้บริโภค นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ องค์กรที่มีความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมมักถูกมองว่าเป็นองค์กรที่ทันสมัยและใส่ใจต่อสังคม ซึ่งช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด
2. ทำให้ทราบจุดสิ้นเปลือง เน้นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรระบุจุดที่สิ้นเปลืองพลังงานหรือทรัพยากร เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้า การจัดการขยะ หรือการขนส่ง การลดการปล่อยคาร์บอนสามารถช่วยลดต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ
3. เพิ่มโอกาสสู่ตลาดใหม่ หรือ ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยั่งยืน
ตลาดที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เช่น ตลาดสินค้าสีเขียว (Green Products) และโครงการลดคาร์บอนในระดับนานาชาติ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การมีข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ชัดเจนช่วยให้สินค้าและบริการขององค์กรสามารถตอบสนองต่อความต้องการในตลาดเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น
4. ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและโครงการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นักลงทุนและสถาบันการเงินจำนวนมากให้ความสำคัญกับธุรกิจที่มีความยั่งยืน การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรได้รับการยอมรับจากกลุ่มนักลงทุนที่เน้น ESG (Environmental, Social, and Governance) และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สนับสนุนโครงการลดการปล่อยคาร์บอนได้ง่ายขึ้น
5. การเตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม
ในหลายประเทศ มาตรการและข้อกำหนดเกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจกมีความเข้มงวดมากขึ้น การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรสามารถเตรียมตัวและปรับตัวให้เข้ากับนโยบายเหล่านี้ได้อย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมายในอนาคต หรือเรียกได้ว่า เริ่มก่อนได้เปรียบกว่า
6. เสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร
องค์กรที่แสดงถึงความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมักเป็นที่ต้องการของพันธมิตรทางธุรกิจที่มีแนวทางเดียวกัน ความโปร่งใสด้านการลดคาร์บอนช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
7. กระตุ้นนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี
การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นแรงผลักดันให้เกิดนวัตกรรมในองค์กร เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานน้อยลง การนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ หรือการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างความสำเร็จขององค์กรแบรนด์ใหญ่ ที่ทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์
- Unilever: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน ทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคและเพิ่มยอดขายสินค้า
- Google: ลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสีเขียวในทุกระดับของการดำเนินงาน
การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ ลดต้นทุน และขยายตลาด การก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นโอกาสที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม
องค์กรชั้นนำที่ประสบผลสำเร็จในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร
โดยใช้บริการจาก FDI ให้เป็นที่ปรึกษาในการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรในรอบปี 2567 ที่ผ่านมา ที่มีการขึ้นทะเบียนสำเร็จแล้ว
จากการประกาศผลการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน ได้รับเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ที่ให้การรับรองมาตรฐานโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปรับองค์กร ในการทำเพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ร่วมถึงการมองเห็นโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของตลาดสีเขียว โดยได้ให้ FDI Group ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน มีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษา การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร และการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน เราขอแสดงความยินดีกับทั้ง 4 บริษัทในความสำเร็จครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง
จากการเริ่มให้บริการในด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ในปี 2023 เป็นต้นมา FDI ได้ให้คำปรึกษาไปแล้วกว่า 70 โครงการ และอีกกว่า 50 บริษัทที่ได้แสดงเจตนารมย์มุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในขั้นตอนดำเนินการในปี 2568 เป็นต้นไป โดยแบ่งออกได้ 3 กลุ่มในการดำเนินการไม่ว่าจะเป็น
1.กลุ่มที่ให้บริการอบรมเตรียมความพร้อมภายในแต่ละบริษัท เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์ (Self-declaration)
2.กลุ่มที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล การประเมินการจัดทำ (on process to certify)
3.กลุ่มที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว (Certified)
โดยในบริการด้านการจัดการคาร์บอนนี้ เรามีความมุ่งมั่นในการให้คำปรึกษากับทุกธุรกิจ เติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งต่อความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม และสังคม รวมถึงการทำธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย
FDI Accounting & Advisory
ที่ปรึกษาทางธุรกิจอย่างครบวงจร !
FDI Group ขอเชิญชวนทุกองค์กร ร่วมกันตั้งเป้าหมายและขับเคลื่อนสู่ Net Zero ร่วมกันสร้างโลกสีเขียวเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจไปด้วยกัน
🌐Website : www.fdi.co.th
📞 Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
E-mail : reception@fdi.co.th
Facebook : FDI Group – Business Consulting
Line Official : @fdigroup
Blogที่น่าสนใจ
ฉลากคาร์บอน แนวทางสู่ความยั่งยืน สะท้อนความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
ความสำคัญของการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนในประเทศไทย “ประเทศไทยตั้งเป้าหมาย Carbon...
Read More