ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายของธุรกิจที่พัฒนาโดยยึดหลัก ESG ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance) การปรับใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) จึงได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรและสังคมสู่ความยั่งยืน AI ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย ESG ขององค์กรต่าง ๆ ได้อีกด้วย
ในบทความนี้ FDI จะพาทุกท่านไปติดตามเทคโนโลยี AI ที่ธุรกิจนำมาใช้พัฒนาด้านความยั่งยืน เพราะเป็นโอกาสใหม่ที่จะทำให้องค์กรของท่าน มีความได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มิติใหม่ ! บทบาทของ AI ในการขับเคลื่อนร่วมกับ ESG Sustainability คืออะไร
สถานการณ์ธุรกิจในยุคปัจจุบัน การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เรื่องที่ทำเพียงเพื่อการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร แต่เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่จำเป็นจะต้องทำในการแสดงความรับผิดชอบจากการดำเนินธุรกิจ การวางกลยุทธ์เป้าหมาย โดยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงกำไรจากการดำเนินงานแต่ต้องสร้างผลกำไรเชิงบวกที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน โดยการต่อยอดจากโอกาสและรักษาคุณภาพมาตรฐานความยั่งยืนได้ด้วย ซึ่งหากพูดในระดับการปรับเปลี่ยนระบบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายอาจจะดูเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องปรับกันทั้งองค์กร แต่ในปัจจุบันหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีส่วนช่วยสำคัญในด้านนี้ก็คือการนำ AI เข้ามาใช้ ที่เราต่างทราบกันดีว่า AI สามารถคิด วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและคาดการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ไปจนถึง Generative AI ที่ใช้การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ในการสรรค์สร้างข้อมูลเนื้อหาใหม่ ๆ แบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้มนุษย์ในการคิด แต่ต้องใช้มนุษย์ป้อนคำสั่งแทน สามารถสร้างเนื้อหาได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ และอื่น ๆ จากข้อมูลที่ถูกป้อนเข้ามาในระบบ ความสามารถของ Generative AI เข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจได้ในหลาย ๆ ด้านมากขึ้น อาทิ การดึงข้อมูลประกอบการคำนวนปริมาณก๊าซเรือนกระจก ของภาคการผลิตที่มีหลายโรงงาน และมีหลายหน่วยผลิต เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่สะดวกรวดเร็ว และแม่นยำกว่าการใช้บุคคลากรจดบันทึกเป็นรายครั้ง อีกทั้งยังสามารถอัพเดทสถานะ การใช้พลังงาน หรือ ข้อมูลจากระบบต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ตามคำสั่งที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น
- การจัดการพลังงาน: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานในองค์กรและเสนอแนวทางเพื่อลดการบริโภคพลังงาน เช่น การปรับอุณหภูมิในอาคารให้เหมาะสม หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต
- Reducing greenhouse gas emissions: AI ช่วยในการติดตามและคาดการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์และระบบ IoT (Internet of Things) เพื่อเสนอแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- การจัดการขยะ: AI ช่วยในการคัดแยกขยะอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพในการรีไซเคิล ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะที่ส่งไปฝังกลบ
การประยุกต์ใช้ AI ด้านสิ่งแวดล้อม ในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
ธุรกิจปรับระบบการดำเนินงาน โดยการใช้ AI ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร เช่น
- การวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากภาพถ่ายดาวเทียม ในพื้นที่รอบโรงงานพร้อม คำแนะนำแนวทาง และกำหนดขอบเขตการดูแลได้อย่งครอบคลุมโดยใช้คำสั่ง AI ในการตรวจสอบ ด้วย Image processor.
- การวิเคราะห์ปริมาณก๊าซรั่วไหลจากเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิต พร้อมคำสั่งในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกผ่านระบบ SCADA พร้อมคำแนะนำและการวิเคราะห์แบบอัตโนมัติเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉินร้ายแรง
- การบริหารจัดการโลจิสติก โดยใช้ AI ในการวางแผนเส้นทางการขนส่ง และประมวลผลพื้นที่จัดเก็บสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์เพื่อลดการเดินทางสิ้นเปลือง
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือการใช้ AI ของบริษัท Google เพื่อลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล (Data Center) โดย AI ช่วยปรับระบบทำความเย็นให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ถึง 30% อ้างอิงข้อมูล ที่มาจาก : Google Sustainability
การประยุกต์ใช้ AI ด้านสังคมในการคัดสรรบุคลากรในการทำงานหรือประชาชนในระบบสาธารณะ
สามารถส่งเสริมความเท่าเทียมและลดอคติในกระบวนการจ้างงาน โดยการปรับปรุงการคัดกรองผู้สมัครงานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ลดการพิจารณาจากปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น เพศหรือเชื้อชาติ AI มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความเท่าเทียมและความหลากหลายในองค์กร เช่น
- การสรรหาพนักงาน: AI ช่วยลดอคติในการคัดเลือกพนักงานโดยการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นกลาง และส่งเสริมการจ้างงานที่หลากหลาย
- การดูแลสุขภาพและความปลอดภัย: AI ช่วยตรวจสอบสภาพแวดล้อมในการทำงานและคาดการณ์ความเสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน เช่น การใช้เซ็นเซอร์เพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศในโรงงาน
- การเข้าถึงบริการสาธารณะ: AI ช่วยพัฒนาระบบบริการสาธารณะที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้ Chatbot เพื่อให้คำแนะนำด้านสุขภาพหรือการศึกษาแก่ประชาชน
ตัวอย่างองค์กรที่นำมาปรับใช้ในด้านนี้ เช่น IBM ได้พัฒนา AI ชื่อ Watson เพื่อช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยโรคและเสนอแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพของประชาชน ที่มา: IBM Watson Health
การประยุกต์ใช้ AI ด้านธรรมาภิบาล หรือจริยธรรมที่โปร่งใส
ความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้ คุณธรรม จริยธรรมในการดำเนินงาน จากการนำ AI ช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กร โดยการตรวจจับสัญญาณของการทุจริตและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ทำให้องค์กรสามารถรักษามาตรฐานจริยธรรมและความน่าเชื่อถือ AI ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในการบริหารจัดการองค์กร เช่น
- การป้องกันการทุจริต : AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการเงินและตรวจสอบกิจกรรมที่น่าสงสัย เพื่อป้องกันการทุจริตและการฟอกเงิน
- การบริหารความเสี่ยง : AI ช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงทางธุรกิจและเสนอแนวทางป้องกัน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลตลาดเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
- การปฏิบัติตามกฎหมาย : AI ช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ
ตัวอย่างองค์กรที่นำมาปรับใช้ในด้านนี้ เช่น SAP ได้พัฒนา AI เพื่อช่วยองค์กรในการตรวจสอบและรายงานข้อมูล ESG อย่างโปร่งใสและถูกต้อง ที่มา : SAP Sustainability
ความท้าทายในการใช้ AI เพื่อ ESG สิ่งที่ต้องพิจารณาให้รัดกุมมากขึ้นในการดำเนินงาน ให้มีประสิทธิภาพ
ถึงแม้ AI จะมีศักยภาพในการขับเคลื่อนความยั่งยืนที่สามารถวิเคราะห์ วางแผน คาดการณ์ความเสี่ยงในปัจจัยด้านต่าง ๆ แต่ก็มีข้อท้าทายที่ต้องพิจารณาร่วมด้วยจากการวิเคราะห์ของมนุษย์ร่วมด้วยในเรื่องต่างๆ รบมถึงการเตรียมข้อมูลให้ครอบคลุมในทุกมิติของการดำเนินงาน เช่น
- ความโปร่งใสและจริยธรรม : การใช้ AI ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมและความโปร่งใส เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติหรือการละเมิดสิทธิ์
- การเข้าถึงข้อมูล : องค์กรต้องมีข้อมูลที่เพียงพอและมีคุณภาพเพื่อให้ AI ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การลงทุน : การพัฒนาและใช้งาน AI นั้น ต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณที่สูง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับองค์กรขนาดเล็ก แต่คาดการณ์ได้ว่าในไม่ช้านี้จะมีระบบที่สามารถเข้าถึงกันได้ในงบประมาณที่ไม่สูงมาก
- การใช้พลังงานของระบบ AI : การใช้มากขึ้น พลังงานของระบบที่ใช้ก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การพัฒนา AI ที่ยั่งยืนจึงเป็นสิ่งสำคัญควบคู่กับ ESG อย่างมีนัยยะที่สำคัญเช่นกัน
ตัวอย่างบริษัทในไทยที่มีการใช้ AI ในการลดก๊าซเรือนกระจกและการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืน
องค์กรในประเทศไทยหลายแห่งได้เริ่มนำ AI มาใช้ในการบริหารจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนและ ESG ตัวอย่างเช่น ปตท., ไทยเบฟเวอเรจ, เอสซีจี, การบินไทย, ทรู คอร์ปอเรชั่น และบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ล้วนเป็นองค์กรชั้นนำที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การนำ AI มาใช้ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในยุคปัจจุบัน
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำของไทย ได้นำเทคโนโลยี AI และ IoT (Internet of Things) มาใช้ในการบริหารจัดการพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตและการดำเนินงานต่างๆ เช่น
- การตรวจสอบและควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก : ปตท. ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งในโรงงานและสถานีบริการ เพื่อตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบเรียลไทม์ และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน : AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานในโรงงานและเสนอแนวทางเพื่อลดการใช้พลังงาน เช่น การปรับปรุงระบบทำความเย็นและการจัดการพลังงานในอาคาร
ปตท. ยังมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายนี้ร่วมด้วย
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
ไทยเบฟเวอเรจ เป็นอีกหนึ่งองค์กรในไทยที่นำ AI มาใช้ในการบริหารจัดการพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในกระบวนการผลิตเครื่องดื่มและอาหาร:
- การจัดการพลังงานในโรงงาน: ไทยเบฟเวอเรจใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานในโรงงาน และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำในกระบวนการผลิต
- การติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: AI ช่วยในการติดตามและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ของบริษัท เพื่อให้สามารถวางแผนลดการปล่อยก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไทยเบฟเวอเรจยังมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30% ภายในปี 2030 และบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2040
บริษัท เอสซีจี จำกัด (มหาชน)
เอสซีจี เป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมวัสดุและการก่อสร้างของไทย ที่นำ AI มาใช้ในการบริหารจัดการพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก:
- การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต : เอสซีจีใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลการผลิตและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ใช้พลังงานน้อยลง เช่น การลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงงานปูนซีเมนต์
- การจัดการขยะและของเสีย: AI ช่วยในการคัดแยกขยะและของเสียในกระบวนการผลิต เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการฝังกลบขยะ
เอสซีจีมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20% ภายในปี 2030 และบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
การบินไทยได้นำ AI มาใช้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการบิน ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง:
- การเพิ่มประสิทธิภาพการบิน: AI ช่วยในการวางแผนเส้นทางการบินและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- การจัดการพลังงานในสนามบิน: การบินไทยใช้ AI ในการบริหารจัดการพลังงานในสนามบิน เช่น การปรับปรุงระบบแสงสว่างและระบบปรับอากาศให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การบินไทยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 50% ภายในปี 2050
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารที่นำ AI มาใช้ในการบริหารจัดการพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก:
- การจัดการพลังงานในศูนย์ข้อมูล (Data Center) : ทรูใช้ AI ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินงานด้านดิจิทัล
- การติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจก : AI ช่วยในการติดตามและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ของบริษัท เพื่อให้สามารถวางแผนลดการปล่อยก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทรู คอร์ปอเรชั่น มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 50% ภายในปี 2030 และบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)
ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ นำ AI มาปรับใช้ มุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและมาตรการควบคุมต้นทุน ลดการปล่อยก๊าซรือนกระจกในทุกมิติ ผลักดันการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้ยกระดับการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจ (Digitalization) เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบนิเวศภายในบ้านปู รวมทั้งมีการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายโอกาสด้านการขายและการตลาด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น
- การพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี AI โดยการเข้าไปลงทุนใน enspired ผู้นำในการพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการซื้อ-ขายพลังงานไฟฟ้า เป็นระบบข้อมูลที่มีการซื้อ-ขายเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์มและระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี AI ในการดำเนินงานในธุรกิจแบตเตอรี่และการซื้อขายพลังงานของบ้านปู เน็กซ์
- BKV Corporation (NYSE: BKV) บริษัทย่อยของบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เผยถึงโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (carbon capture and sequestration หรือ CCS) ใหม่ที่จะพัฒนาร่วมกับบริษัทพลังงานกลางน้ำชั้นนำ ที่โรงงานก๊าซธรรมชาติซึ่งดำเนินการอยู่ในปัจจุบันในรัฐเท็กซัสตอนใต้ การร่วมมือครั้งนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของ BKV ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการพัฒนาสินทรัพย์ CCS ที่สามารถทำกำไรได้ พร้อมสร้างมูลค่าระยะยาวด้วยโซลูชันที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน (ที่มา : www.banpu.com)
FDI ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก และให้คำปรึกษาองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
เป็นโอกาสที่ดีที่เกิดขึ้น ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งการนำเทคโนโลยี การนำ AI มาใช้ร่วมกับกรอบการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG ถือเป็นโอกาสที่ดีในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
หากมองถึงประเด็นการจัดการข้อมูล การปรับใช้ร่วมกันแล้ว จะพบว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่แม่นยำและรวดเร็ว ในส่วนของมิติด้านสิ่งแวดล้อม AI สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการจัดการขยะ ในมิติด้านสังคม AI มีส่วนช่วยในการส่งเสริมความเท่าเทียมและความหลากหลายด้วยการลดอคติในการสรรหาพนักงาน และในมิติด้านธรรมาภิบาล AI ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลการเงิน การผสานประสิทธิภาพ ระหว่าง AI และ ESG ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรในสายตาของนักลงทุนและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ดังนั้นการนำ AI มาใช้พัฒนาร่วมกับ ESG จึงถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ในการสร้างคุณค่าระยะยาวให้กับธุรกิจและสังคมอย่างแท้จริง
บริการให้คำปรึกษาด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก
FDI มุ่งมั่นให้บริการ ให้คำปรึกษาด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นับว่าเป็นความท้าทายในทุกห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ซัพพลายเออร์ต้นน้ำไปจนถึงผู้ใช้ปลายทาง ที่ต่างต้องร่วมมือกันเพื่อให้ประเทศไทยและโลก ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้เร็วมากขึ้นหรือเป็นไปตามเป้าหมายตามระยะเวลาที่ได้กำหนดกรอบดำเนินงานไว้
- บริการประเมินเเละจัดทำ Carbon Footprint and Carbon Credit
- ให้คำปรึกษาโครงการ BCG-ESG
- ให้คำปรึกษาขึ้นทะเบียนโครงการ CBAM
- บริการจัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลด้าน Green House Gas Report รายเดือน
- บริการที่ปรึกษาเเละวางแผนโครงการ Carbon Net Zero
- บริการ Energy Dashboard Platform ให้บริการที่ครอบคลุม Scope 1 , 2 และ 3
- บริการจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
ช่องทางติดต่อ
- Facebook : FDI Group – Business Consulting
- Line : @fdigroup
- Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
- E-mail : reception@fdi.co.th
- Website : www.fdi.co.th
Blogที่น่าสนใจ
จากภาวะโลกร้อน สู่ภาวะโลกเดือด ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นวิกฤตของคนทั้งโลกต้องจับตา!
ภาวะโลกเดือดไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความร้อน” แต่เป็นวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับปัจเจกและระดับโลก...
Read Moreที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และจัดทำรายงาน CFO CFP
FDI Group ที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์...
Read Moreบริการที่ปรึกษาการจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยทีมวิศวกร FDI Group ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
ที่ปรึกษาการจัดการก๊าซเรือนกระจกและการจัดการคาร์บอน ช่วยพัฒนากลยุทธ์อย่างยั่งยืน ให้คำปรึกษาพัฒนาธุรกิจที่สอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร ...
Read More