อย่างที่ทราบกันดีว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมหรือกระบวนการต่างๆ ซึ่งหากปล่อยออกมาจากกระบวนการผลิต ดำเนินงานของผลิตภัณฑ์ เรียกว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint for Product) และหากเกิดจากกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กร เรียกว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization) สำหรับก๊าซเรือนกระจก (GHG) มีทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), มีเทน (CH4) ,เพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) , ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) , ไนตรัสออกไซด์ (N2O), ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) และไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3) โดยที่ก๊าซเรือนกระจกทั้ง 7 ชนิดนี้ จะถูกวัดและรายงานผลในรูปของตันหรือกิโลกรัมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tonCO2 eq หรือ kgCO2 eq) เป็นการเปรียบเทียบค่าก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ด้วยค่าศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเมื่อเทียบกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
มาตรฐานการประเมินปริมาณการปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกขององค์กร
แบ่งเป็น 3 ประเภท (Carbon Emission Types)
สำหรับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กร จะช่วยให้องค์กรเห็นภาพรวมของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานที่ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น สามารถระบุกิจกรรมขององค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ติดตามประสิทธิภาพในกระบวนการลดการปล่อยก๊าซได้ง่ายและวัดผลได้ง่ายมากขึ้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
ประเภท 1 : กิจกรรมการทางตรงจากการดำเนินงานขององค์กร (Direct Emissions)
ประเภท 2 : กิจกรรมการทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Energy Indirect Emissions)
ประเภท 3 : กิจกรรมการทางอ้อมอื่นๆ (Other Indirect Emissions)
การแบ่งการจัดเก็บข้อมูลในแต่ละขอบเขตจะทำให้เข้าใจในแนวทางการประเมินค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทราบข้อมูลที่แน่ชัด วัดผลได้ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และสามารถจำแนกสาเหตุ กระบวนการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันจะนำไปสู่การหาแนวทางในการลดและจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ลดลงขององค์กร
เข้าใจในแนวทางสำหรับองค์กรในการเก็บข้อมูล เพื่อใช้ประเมินก๊าซเรือนกระจก
- การระบุกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กรตามขอบเขต Carbon Emission ทั้ง 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะในรูปแบบที่ 1. Direct Emission , 2. Energy Indirect Emissions , 3.Other Indirect Emissions
- จัดเก็บข้อมูล แหล่งปล่อยและแหล่งดูดกลับก๊าซเรือนกระจก
- การคำนวณค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร แยกตามประเภท ซึ่งจะต้องคำนึงถึงความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ แหล่งที่มาของข้อมูลในการคำนวณ ใช้แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้
หากคุณมีคำถาม ให้เราช่วยตอบ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ตอนนี้
องค์กรที่ต้องการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต้องเริ่มทำอย่างไร ?
แนะนำขั้นตอนเบื้องต้นในการประเมิน Carbon Footprint โดยสามารถปรึกษาที่ปรึกษา เพื่อความสะดวก ให้เราแบ่งเบาภาระงานของคุณ และช่วยเหลือให้คำแนะนำให้การเตรียมข้อมูลเป็นไปอย่างถูกต้องตามกรอบระยะเวลาที่วางเอาไว้
1. การกำหนดขอบเขตองค์กร (Scope & Boundaries)
ระบุว่า “ใครเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร” ที่ต้องรวมในประเมิน เช่น โรงงาน สำนักงาน สาขา ย่อย ฯลฯ และนิยามแหล่งปล่อยก๊าซว่ารวมอะไรบ้าง เช่น เชื้อเพลิงตรง การใช้ไฟฟ้า หรือกิจกรรมภายนอกที่ควบคุมได้
2.จัดทำแผน Inventories และเก็บข้อมูลกิจกรรม (Activity Data)
รวบรวมข้อมูลการใช้พลังงาน น้ำมัน และวัตถุดิบ ตลอดจนกิจกรรมเกี่ยวกับการเดินทาง การขนส่ง ฯลฯ เพื่อคำนวณการปล่อยก๊าซจากแต่ละส่วนขององค์กร
3.เลือกตัวแปรอัตราการปล่อยก๊าซ (Emission Factors)
หาข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการปล่อยของก๊าซที่เกี่ยวข้อง
4. การคำนวณและวิเคราะห์ผลลัพธ์
นำข้อมูลที่ได้มาคำนวณหาค่า Carbon Footprint แยกตาม Scope 1, 2, และ 3 เพื่อวิเคราะห์ว่าผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรมใด “ปล่อย” มากที่สุด ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการลดอย่างมีทิศทาง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดอย่างมีนัยยะสำคัญ
5. ตั้งเป้าหมายการลด (Reduction Targets)
กำหนดเป้าหมายเช่น ลดการปล่อย 20–40% ภายใน 5 ปี หรือเป้าหมายแบบ Science-Based Targets ตามแนวทางที่เชื่อมโยงกับ SDGs หรือ Paris Agreement
หากองค์กรของคุณต้องการคำปรึกษาแบบเชิงลึก ที่ให้คำแนะนำด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ตลอดจนการวางแผนการดำเนินงาน การอบรม การทำรายงานพร้อมการขึ้นทะเบียน FDI พร้อมเป็นที่ปรึกษา ในการช่วยวางแผนครบทุกขั้นตอนให้ได้ผลจริง
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ Carbon Footprint และด้านสิ่งแวดล้อมมีผลต่อการระดมทุนและนักลงทุนยุคใหม่อย่างไรบ้าง ?
ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจทางธุรกิจ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) หรือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน รวมถึงการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม ที่ในทุกกิจกรรมล้วนแล้วแต่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้น เจาะลึกกับที่ปรึกษาการจัดการก๊าซเรือนกระจกอ่านต่อ.. ในบทความนี้เราจะจำกัดเนื้อหาเฉพาะของในแง่มุมองค์กรธุรกิจ ที่การดำเนินงานนั้นได้กลายเป็นตัวชี้วัด มีบทบาทที่สำคัญต่อการระดมทุนและการตัดสินใจของนักลงทุนยุคใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สังคมมุ่งเน้นในเรื่องของความยั่งยืน ที่ไม่ใช่เพียงแต่ในมิติของสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงมิติด้านสังคม ธรรมาภิบาล และการคำนึงถึงผลกระทบในอนาคตที่ต้องการให้การดำเนินชีวิตของผู้คนยังคงเป็นไปได้ด้วยความยั่งยืนในทุกมิติไว้อย่างน่าสนใจ
นักลงทุนยุคใหม่ โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันและกองทุน ESG (Environmental, Social, and Governance) ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าองค์กรมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและเตรียมพร้อมต่อความเสี่ยงในอนาคต ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้อย่างดี
- ESG Integration : การลงทุนตามหลักเกณฑ์ ESG ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยนักลงทุนใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นเกณฑ์ในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสของธุรกิจในปัจจุบันและแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
- Green Finance : ธุรกิจที่มีการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนสีเขียว (Green Bond) หรือสินเชื่อที่มีเงื่อนไขสอดคล้องกับความยั่งยืนได้ง่ายมากขึ้น
จัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กร คลิก !!
จัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับผลิตภัณฑ์ คลิก !!
เตรียมพร้อมอย่างไรให้องค์กรและผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดได้อย่างยั่งยืน
โดยการเตรียมความพร้อมสู่ตลาดสีเขียวนั้น จะเป็นกุญแจที่สำคัญทำให้ธุรกิจนั้นเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว และจำเป็นที่ควรพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้เข้าใจและสนับสนุนแนวทางสีเขียวอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืนและเติบโตไปพร้อมกับตลาดสีเขียวอย่างมั่นคงมากขึ้น
ทำไมธุรกิจถึงจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอื่น ๆ
จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติในศตวรรษที่ 21 เพราะภาวะโลกเดือดในปัจจุบันเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างกว้างขวาง ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลเสียเพียงแต่มนุษยชาติแต่รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งหนึ่งในแนวทางสำคัญในการจัดการกับปัญหานี้ที่เป็นอีกประเด็นของทุกองค์กรควรจะทำ คือ การวัดและลด “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” (Carbon Footprint) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร ธุรกิจ หรือบุคคล การวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรสามารถระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซ และวางแผนกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยอย่างมีประสิทธิภาพ
FDI Accounting & Advisory ในฐานะที่ปรึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เราพร้อมให้การสนับสนุนทุกองค์กรธุรกิจที่มีเป้าหมายเพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเช่นเดียวกับเรา ในการเป็นที่ปรึกษาการทำธุรกิจ ภายใต้เงื่อนไขที่ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ที่ครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อให้ตอบโจทย์นโยบายของภาครัฐ รวมถึงเป้าหมายขององค์กร ในการปรับเปลี่ยนระบบการทำธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม สู่ความยั่งยืนโดยแท้จริง
ช่องทางติดต่อ
- Facebook : FDI Group – Business Consulting
- Line : @fdigroup
- Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
- E-mail : Infojob@fdi.co.th
- Website : www.fdi.co.th
บทความที่น่าสนใจ
SDGs x ESG เชื่อมโยงเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนของโลกและอนาคตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
เมื่อโลกเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อน ดูทีท่าจะแก้ยากมากขึ้น ทั้งความยากจน...
Read Moreอุตสาหกรรม Jewelry ต้องทำ! ปรับโรงงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โอกาสสร้างกำไรอย่างยั่งยืน
เพิ่มกำไรอย่างยั่งยืนให้กับโรงงาน Jewelry กับสิ่งแวดล้อม...
Read MoreCBAM Certificate คืออะไร ? ปี 69 “CBAM เริ่มภาคบังคับ” เอกสารสำคัญที่ผู้ส่งสินค้าไปยุโรปต้องรู้
จากบทความก่อนที่ FDI พาไปเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับ...
Read More