เทคนิคการอ่านงบการเงินแบบง่าย เพื่อประเมินศักยภาพของกิจการประกอบการตัดสินใจลงทุน
การดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เพื่อพิจารณาว่าผลลัพธ์กิจการนั้นจะเติบโตขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใด การติดตามผลประกอบการโดยรวม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน ซึ่งถ้าหากคุณกำลังจะเป็นนักลงทุนหรือต้องการอ่านงบการเงินให้เป็น จำเป็นที่จะต้องรู้และทำความเข้าใจงบการเงิน ใน 4 ส่วนหลัก ดังนี้
1.งบแสดงฐานะทางการเงินหรืองบดุล
เป็นรายงานที่แสดงถึงความมั่งคั่งและความมั่นคงของกิจการ รวมถึงสถานะทางการเงินว่ามีความร่ำรวยหรือขาดทุนเพียงใด โดยจะแสดงรายละเอียดของสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างชัดเจน โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาดังนี้:
- สภาพคล่องของกิจการ : กิจการควรมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน เพื่อแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้สินระยะสั้นได้อย่างคล่องตัว
- คุณภาพของสินทรัพย์ : สินทรัพย์ควรเป็นทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้และให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น เช่น เงินสด ลูกหนี้การค้า สินค้าคงคลัง ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ต่าง ๆ
- ความมั่นคงของกิจการ : พิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจที่มั่นคงควรมี D/E Ratio ไม่เกิน 2 เท่า อย่างไรก็ตาม ในบางอุตสาหกรรม เช่น ธนาคารพาณิชย์และประกันภัย ซึ่งระดมทุนจากหนี้สิน เช่น เงินฝาก และปล่อยกู้ในฝั่งสินทรัพย์ ทำให้มี D/E Ratio สูงถึง 5 – 10 เท่า
- กำไรขาดทุนสะสมยังไม่ได้จัดสรร: คือ กำไรสะสมและกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่ยังไม่ได้จัดสรร หากมียอดดุลเป็นผลขาดทุนสะสม จะแสดงในงบการเงินด้วยเครื่องหมายวงเล็บและระบุเป็น “ขาดทุนสะสม”
2.งบกำไรขาดทุน
เป็นรายงานที่แสดงถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจ โดยให้ภาพรวมว่าบริษัทมีรายได้ รายจ่าย ต้นทุน และผลกำไรเป็นอย่างไร ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมถึงแนวโน้มของผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อการวิเคราะห์ที่แม่นยำ นักลงทุนควรพิจารณาข้อมูลต่อไปนี้
- รายได้: ธุรกิจที่ดีควรมีรายได้เติบโตจากธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถติดตามได้จากรายงานงบการเงินในทุกไตรมาส โดยรายได้จากการขายและบริการควรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
- รายได้พิเศษ: เป็นรายได้ที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานปกติ เช่น กำไรจากการขายทรัพย์สิน หากในไตรมาสใดมีรายได้ประเภทนี้จะทำให้ผลประกอบการดูเติบโตขึ้นชั่วคราว อย่างไรก็ตาม รายได้พิเศษมักไม่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอและไม่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในระยะยาว จึงควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง
3.งบกระแสเงินสด
เป็นรายงานที่แสดงถึงสภาพคล่องทางการเงินของกิจการ โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเงินสดจริง ซึ่งต่างจากงบกำไรขาดทุนที่ใช้เกณฑ์คงค้างในการบันทึก จึงไม่สะท้อนการรับจ่ายเงินสดที่เกิดขึ้นจริง งบกระแสเงินสดจึงมีความสำคัญต่อการประเมินความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้:
- กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน : แสดงถึงการไหลเข้าและไหลออกของเงินสดจากการดำเนินธุรกิจหลัก โดยตัวเลขควรเป็น “บวก” ซึ่งหมายความว่ากิจการสามารถสร้างและเก็บเงินสดได้จากการดำเนินธุรกิจ หากเป็น “ลบ” แสดงว่าธุรกิจไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้เพียงพอ
- กระแสเงินสดสุทธิจากการลงทุน : แสดงถึงการใช้จ่ายเงินสดเพื่อการลงทุน เช่น การซื้อที่ดิน อาคาร หรืออุปกรณ์ หากตัวเลขเป็น “ลบ” ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะหมายถึงกิจการกำลังลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนและขยายธุรกิจในอนาคต
- กระแสเงินสดสุทธิจากการจัดหาเงิน : แสดงถึงการเคลื่อนไหวของเงินสดจากการจัดหาเงินทุน เช่น การกู้ยืมเงินหรือการเพิ่มทุนจดทะเบียน หากตัวเลขเป็น “ลบ” หมายถึงกิจการใช้เงินสดเพื่อจ่ายเงินปันผลหรือชำระหนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณของความสามารถในการบริหารจัดการหนี้สินได้ดี ในทางกลับกัน หากตัวเลขเป็น “บวก” แสดงว่ากิจการได้รับเงินสดจากการกู้ยืมเพิ่มเติมหรือการระดมทุน ซึ่งอาจสะท้อนถึงความจำเป็นในการใช้เงินทุนเพิ่มขึ้น
4.หมายเหตุประกอบงบการเงิน
เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยอธิบายรายละเอียดและที่มาของตัวเลขในงบการเงิน โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมและรายละเอียดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ ดังนี้:
- ภาพรวมของนโยบายทางการบัญชี : แสดงนโยบายทางบัญชีที่บริษัทใช้ โดยอธิบายหลักเกณฑ์และแนวทางการบันทึกบัญชีในภาพรวม ก่อนที่จะลงรายละเอียดในส่วนอื่น ๆ เพื่อให้เข้าใจวิธีการจัดทำงบการเงินได้อย่างถูกต้อง
- วิธีคิดค่าเสื่อมราคา : เนื่องจากวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์อาจแตกต่างกันไป การดูเฉพาะงบการเงินอาจไม่เพียงพอ จึงต้องพิจารณาในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ซึ่งจะอธิบายวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคาอย่างละเอียด
- รายละเอียดลูกหนี้ : การดูตัวเลขลูกหนี้การค้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการประเมินสถานะทางการเงินของบริษัท หมายเหตุประกอบงบการเงินจะให้ข้อมูลเชิงลึก เช่น อายุของลูกหนี้และความเสี่ยงในการเก็บเงิน เพื่อประเมินความเหมาะสมในการเป็น “เจ้าหนี้” ของบริษัท
- รายละเอียดเจ้าหนี้ : ในงบการเงินหลักจะแสดงข้อมูลเฉพาะหนี้สินระยะสั้นและระยะยาวเท่านั้น แต่ในหมายเหตุประกอบงบการเงินจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบของหนี้สิน เช่น การแยกหนี้เป็นก้อน ๆ และข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นกู้ (ถ้ามี)
- การลงทุนและการถือหุ้นในบริษัทอื่น ๆ : ข้อมูลการลงทุนมักรวมอยู่ในสินทรัพย์ถาวรในงบการเงินหลัก แต่ในหมายเหตุประกอบงบการเงินจะให้รายละเอียดว่า บริษัทลงทุนในกิจการใดบ้าง มีสัดส่วนการถือหุ้นเท่าไร และมีรายได้จากการลงทุนในรูปแบบใด เช่น เงินปันผล
- รายละเอียดสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ : เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้า ซึ่งในหมายเหตุประกอบงบการเงินจะอธิบายรายละเอียดและวิธีการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์เหล่านี้
- อัตราแลกเปลี่ยน : หากงบการเงินเกี่ยวข้องกับสกุลเงินต่างประเทศ จะต้องพิจารณาประเด็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งหมายเหตุประกอบงบการเงินจะชี้แจงที่มาของอัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบที่เกิดขึ้นในแต่ละส่วนของงบการเงิน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความเสี่ยงและความผันผวนที่เกี่ยวข้อง
โดยสรุปแล้วการวิเคราะห์งบการเงินนั้น จะช่วยเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนประเมินภาพรวมของบริษัทหรือหุ้นที่สนใจลงทุน โดยแสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินงานในอดีต สถานะทางการเงินว่ามีความแข็งแกร่งเพียงใด ประสิทธิภาพของทีมผู้บริหาร และสัญญาณสำคัญที่ควรเฝ้าระวัง ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์และประเมินศักยภาพในการเติบโตของบริษัทในอนาคตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น หากท่านใดที่ต้องการจะลงทุนในกิจการ FDI แนะนำให้ศึกษารายละเอียดหลักตามที่กล่าวมาข้างต้น และข้อมูลกิจการด้านอื่นๆ ประกอบการพิจารณาร่วมด้วย เพื่อให้เกิดความเสี่ยงน้อยลง และให้การลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
FDI Accounting & Advisory ที่ปรึกษาทางธุรกิจอย่างครบวงจร
ง่าย ครบ จบ ในที่เดียว!
ทุกธุรกิจเติบโตได้ ง่ายนิดเดียว เพียงปรึกษา FDI บริการครบ ให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์เชิงลึกในหลากหลายธุรกิจ ตอบโจทย์ในทุกธุรกิจ ทันสมัย รวดเร็ว บริการทุกท่านด้วยความยินดี เราพร้อมที่จะมอบประสบการณ์และส่งต่อคุณค่าที่ดีที่สุด
Contact Us
- Facebook : FDI Group – Business Consulting
- Line : @fdigroup
- Phone : 02-642-6866, 02-642-6869, 02-642-6895
- E-mail : Infojob@fdi.co.th
- Website : www.fdi.co.th
InterestingArticles
"Ask & Answer" Is It Really Necessary for Businesses to Consult Experts on Corporate Tax?
ปรึกษาเรื่องภาษี กับผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและวางแผนภาษีนิติบุคคล ภาษีนิติบุคคล...
Read MoreHow Businesses Should Know! How Are Storefront Signs and Advertising Billboards Taxed ?
ภาษีป้ายคืออะไร ทำความเข้าใจกฎหมายภาษี ภาษีป้าย...
Read Moreการทำบัญชีนิติบุคคลให้ได้มาตรฐาน คนทำธุรกิจต้องรู้ การทำบัญชีและวางแผนภาษี !
รู้หรือไม่ ? หลายธุรกิจไปต่อไม่ไหว...
Read More