บทความ BCG

จากภาวะโลกร้อน สู่ภาวะโลกเดือด ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นวิกฤตของคนทั้งโลกต้องจับตา!

ภาวะโลกเดือดไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความร้อน” แต่เป็นวิกฤตการณ์ที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับปัจเจกและระดับโลก ความรุนแรงนี้ทำให้การแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้อย่างรวดเร็วที่สุด ความรุนแรงจากภาวะโลกร้อนสู่ภาวะโลกเดือด ผลกระทบหนักต่อสิ่งมีชีวิตในหลากหลายมิติ “ภาวะโลกเดือด” เริ่มได้รับความสนใจเมื่อผู้นำหรือองค์กรระดับนานาชาติ เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) และนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ ใช้คำนี้เพื่อสร้างจุดสนใจให้เห็นถึงความรุนแรงของวิกฤตภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้น และกระตุ้นให้ทุกคนเร่งแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานหมุนเวียน คำนี้สะท้อนถึงความรุนแรงที่ไม่ใช่แค่ “ความร้อน” แต่ยังรวมถึงผลกระทบที่ครอบคลุมทุกด้านของชีวิตบนโลกใบนี้ หากไม่มีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและมีประสิทธิภาพ ความรุนแรงที่เห็นได้ชัด จากวิกฤตไฟป่าแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา ข่าวร้ายต้นปี 2025 (7 ม.ค. 2568) คร่าชีวิตมนุษย์และสัตว์ เสียหายทางเศรษฐกิจราว 1.73 ล้านล้านบาท  ถือเป็นข่าวเศร้ารับต้นปีเลยทีเดียว กับสถานการณ์ไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา โดย BCC NEW ไทย ได้ให้ข้อมูลว่า มีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย และต้องอพยพประชาชนกว่า 1.37 แสนคน ออกจากพื้นที่ ขณะที่ต้องระดมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงมากกว่า 1,400 คน ท่ามกลางอุปสรรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลมกระโชกแรง ความแห้งแล้งในพื้นที่ และขาดแคลนน้ำเพื่อนำมาช่วยดับเพลิง  มีพื้นที่ที่เกิดไฟป่าอย่างน้อย 7 แห่ง สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน พื้นที่เพราะปลูกอย่างมหาศาล  ปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟป่าใหญ่ครั้งนี้เกิดจากอะไร  ผลการวิจัยของรัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดไฟป่าครั้งนี้ กระแสลมที่พัดแรงและความแห้งแล้งเป็นสาเหตุหลักของไฟป่ากลางฤดูหนาว ทำให้ไม่สามารถควบคุมทิศทางของไฟได้ จนเกิดเหตุไม่คาดฝันที่คร่าชีวิตคน สัตว์พร้อมความเสียหายครั้งใหญ่นี้  ถอดบทเรียนอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง ของวิกฤตที่ทวีความรุนแรงของภัยพิบัติธรรมชาติ !! ปัจจัยหลักอะไรบ้าง ที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกเดือด สาเหตุที่ทำให้วิกฤตภาวะโลกเดือดรุนแรงขึ้น ? จากปัจจัยด้านพฤติกรรมของมนุษย์ 1. การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions)  การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และก๊าซมีเทน (CH₄) ในปริมาณมหาศาล การทำปศุสัตว์ขนาดใหญ่เป็นแหล่งสำคัญของก๊าซมีเทน การตัดไม้ทำลายป่า ลดความสามารถของธรรมชาติในการดูดซับ CO₂ กระบวนการผลิตที่ไม่มีคุณภาพ ไม่สามารถควบคุมและจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้  1.1 วัฒนธรรมการบริโภคที่ไม่ยั่งยืน การบริโภคอาหารที่ไม่ยั่งยืนจากพฤติกรรมของมนุษย์ การบริโภคอาหารที่มาจากการผลิตที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การบริโภคเนื้อสัตว์จากฟาร์มที่มีการใช้ทรัพยากรในการผลิตสูง หรือการผลิตที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างสูง การสูญเสียและทิ้งอาหาร (food waste) ทั้งจากอุตสาหกรรมการผลิต และภาคครัวเรือน ซึ่งการทิ้งอาหารที่ยังสามารถบริโภคได้ หรือการบริโภคในปริมาณมากเกินไปโดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ  การซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยและการบริโภคการใช้แล้วทิ้ง […]

ที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และจัดทำรายงาน CFO CFP

FDI Group ที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และจัดทำรายงาน CFO CFP ให้คำปรึกษาธุรกิจทุกขั้นตอนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมในการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน  ทำไมธุรกิจถึงจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติในศตวรรษที่ 21 เพราะภาวะโลกเดือดในปัจจุบันเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างกว้างขวาง ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลเสียเพียงแต่มนุษยชาติแต่รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ซึ่งหนึ่งในแนวทางสำคัญในการจัดการกับปัญหานี้ที่เป็นอีกประเด็นของทุกองค์กรควรจะทำ คือ การวัดและลด “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” (Carbon Footprint) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร ธุรกิจ หรือบุคคล การวิเคราะห์คาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรสามารถระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซ และวางแผนกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยอย่างมีประสิทธิภาพ FDI Group ที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จึงกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนองค์กรให้ก้าวสู่ความยั่งยืน ผ่านการวางแผน การวิเคราะห์ และการพัฒนานโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ในบทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับความสำคัญของการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ บทบาทของที่ปรึกษา และแนวทางการทำงานของที่ปรึกษาคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างละเอียด การจำแนกประเภทคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มีกี่แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร แบบที่ 1  CFO : Carbon Footprint for Organization การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร  ขอบเขตการประเมิน Carbon Footprint for Organization แบ่งออกเป็น 3 ขอบเขต คือ  ขอบเขตที่ 1 การปล่อยและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรโดยตรง (Direct Emissions) ที่องค์กรเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจในการควบคุม ตรวจสอบได้ ขอบเขตที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Indirect Emissions)  ขอบเขตที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากกิจกรรมอื่นๆ (Other Indirect Emissions) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมอื่นๆ ที่อยู่นอกขอบเขตขององค์กร อ่านต่อ : โอกาสที่สำคัญ! ของการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร กุญแจสู่ความสำเร็จ แบบที่ 2  CFP : Carbon Footprint of Products การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ขอบเขตของการคำนวณตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การกระจายสินค้า การใช้งาน การจัดการหลังการใช้งาน  อ่านต่อ : คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ คำนวณอย่างไร? ความสำคัญและโอกาส ของการวัดและประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในปี 2025 ตอบสนองต่อข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ หลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ มีข้อกำหนดให้บริษัทต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น […]

บริการที่ปรึกษาการจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยทีมวิศวกร FDI Group ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม

ที่ปรึกษาการจัดการก๊าซเรือนกระจกและการจัดการคาร์บอน ช่วยพัฒนากลยุทธ์อย่างยั่งยืน ให้คำปรึกษาพัฒนาธุรกิจที่สอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร  “เราให้บริการโดยมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์เชิงลึกในหลายอุตสาหกรรมที่กำลังดำเนินการและขึ้นทะเบียนไปแล้ว ในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นที่ปรึกษาในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ ตามแนวทางขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. แล้ว “ FDI เราให้บริการตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร และการพัฒนาแนวทางโดยยึดหลักของ BCG – ESG แบบครบวงจร ตั้งแต่ด้านการอบรมภายใน เพื่อสร้างทักษะ ความรู้ ความเข้าใจ มีเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกันในองค์กร และการตั้งเป้าหมายสู่ Net Zero ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน SBTi และการจัดทำรายงานความยั่งยืนตามมาตรฐานของสากล เราพร้อมที่จะให้คำปรึกษาและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน  อีกหนึ่งบริการจาก เอฟ ดี ไอ กรุ๊ป ที่บริษัทต่างๆให้ความไว้วางใจใช้บริการ คือที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เรามีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ทางตรงในด้านวิศวกรรม ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในโครงการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อร่วมขับเคลื่อนตามนโยบายของภาครัฐในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emission บุคลากรของเราได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ปรึกษาโครงการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (CFP) และ ที่ปรึกษาโครงการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (CFO) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทีมวิศวกรสิ่งแวดล้อม FDI บริการด้าน BCG / Environment & Sustainable Consulting FDI ได้มุ่งมั่นพัฒนาบริการด้านต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าเสมอมา ในปีนี้ในโอกาสที่ก้าวเข้าสู่วาระครบรอบ 30 ปีของ FDI เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาบริการให้ครอบคลุมในทุกมิติมากยิ่งขึ้นในอีกระดับ ปลดล็อกทุกศักยภาพของทุกธุรกิจให้เติบโตไปแบบก้าวกระโดดอย่างยั่งยืน เราเชื่อมั่นว่าทุกองค์กรที่ได้เริ่มจัดการการลดก๊าซเรือนกระจก ล้วนเล็งเห็นในความสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่ต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสังคมไทย สังคมโลก  FDI ได้เริ่มให้คำปรึกษาบริษัทต่าง ๆ โดยได้เริ่มการบริการด้านสิ่งแวดล้อม ในปี 2023 เป็นต้นมา ซึ่งได้ให้คำปรึกษาไปแล้วมากกว่า 60 บริษัท จำนวนโครงการมากกว่า 70 โครงการ ในปีที่ผ่านมา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มบริษัทที่กำลังอบรมภายใน เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 2.กลุ่มบริษัทที่กำลังอยู่ในขั้นตอนจัดเตรียมข้อมูล และประเมินในการขึ้นทะเบียน 3.กลุ่มบริษัทที่ได้รับการประเมินและขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นที่เรียบร้อย จากการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนขององค์กรและผลิตภัณฑ์ แสดงให้เห็นเจตนารมย์ที่ดีของทุกองค์กร และความรับผิดชอบต่อส่วนรวมโดยส่วนใหญ่ รวมถึงความมุ่งมั่นที่ต้องการทำเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง เราพร้อมให้คำปรึกษาในการวัดประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรและผลิตภัณฑ์ ครบจบในที่เดียว! […]

ESG Sustainability คืออะไร? ผสานรวมกับ AI เทคโนโลยีกับบทบาทในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายของธุรกิจที่พัฒนาโดยยึดหลัก ESG ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance) การปรับใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) จึงได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรและสังคมสู่ความยั่งยืน AI ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย ESG ขององค์กรต่าง ๆ ได้อีกด้วย  ในบทความนี้  FDI จะพาทุกท่านไปติดตามเทคโนโลยี AI ที่ธุรกิจนำมาใช้พัฒนาด้านความยั่งยืน เพราะเป็นโอกาสใหม่ที่จะทำให้องค์กรของท่าน มีความได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิติใหม่ ! บทบาทของ AI ในการขับเคลื่อนร่วมกับ ESG Sustainability คืออะไร  สถานการณ์ธุรกิจในยุคปัจจุบัน การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เรื่องที่ทำเพียงเพื่อการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร แต่เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่จำเป็นจะต้องทำในการแสดงความรับผิดชอบจากการดำเนินธุรกิจ การวางกลยุทธ์เป้าหมาย โดยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงกำไรจากการดำเนินงานแต่ต้องสร้างผลกำไรเชิงบวกที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน โดยการต่อยอดจากโอกาสและรักษาคุณภาพมาตรฐานความยั่งยืนได้ด้วย ซึ่งหากพูดในระดับการปรับเปลี่ยนระบบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายอาจจะดูเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องปรับกันทั้งองค์กร แต่ในปัจจุบันหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีส่วนช่วยสำคัญในด้านนี้ก็คือการนำ AI เข้ามาใช้ ที่เราต่างทราบกันดีว่า AI สามารถคิด วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและคาดการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ไปจนถึง Generative AI ที่ใช้การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ในการสรรค์สร้างข้อมูลเนื้อหาใหม่ ๆ แบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้มนุษย์ในการคิด แต่ต้องใช้มนุษย์ป้อนคำสั่งแทน สามารถสร้างเนื้อหาได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ และอื่น ๆ จากข้อมูลที่ถูกป้อนเข้ามาในระบบ ความสามารถของ Generative AI เข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจได้ในหลาย ๆ ด้านมากขึ้น อาทิ การดึงข้อมูลประกอบการคำนวนปริมาณก๊าซเรือนกระจก ของภาคการผลิตที่มีหลายโรงงาน และมีหลายหน่วยผลิต เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่สะดวกรวดเร็ว และแม่นยำกว่าการใช้บุคคลากรจดบันทึกเป็นรายครั้ง อีกทั้งยังสามารถอัพเดทสถานะ การใช้พลังงาน หรือ ข้อมูลจากระบบต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ตามคำสั่งที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น การจัดการพลังงาน: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานในองค์กรและเสนอแนวทางเพื่อลดการบริโภคพลังงาน เช่น การปรับอุณหภูมิในอาคารให้เหมาะสม หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: AI ช่วยในการติดตามและคาดการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์และระบบ IoT (Internet of Things) เพื่อเสนอแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการขยะ: AI ช่วยในการคัดแยกขยะอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพในการรีไซเคิล ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะที่ส่งไปฝังกลบ การประยุกต์ใช้ AI ด้านสิ่งแวดล้อม ในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน […]

SUCCESS CASE カーボンラベル登録および組織と製品のカーボンフットプリント認証 [EP.1]

Success Case Carbon Footprint Label รอบขึ้นทะเบียนในปี 2567  ในการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนรับเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์ จากบริการด้าน BCG / Environment & Sustainable Consulting ของ FDI Group ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับองค์กรต่างๆ ในความสำเร็จที่เกิดขึ้นในโอกาสอันสำคัญนี้ ของการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์  จากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อมวลมนุษยชาติทั่วโลก โดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจากความสำคัญของปัญหาดังกล่าวทำให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญอย่างจริงจังในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน โดยตั้งเป้าหมายร่วมกันในการลด บรรเทาความรุนแรงทางสภาพภูมิอากาศ มีวัตถุประสงค์หลักร่วมกัน คือการเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์  โดยออกมาตรการที่สำคัญ นโยบายในการร่วมมือกันเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม “ประเทศไทยตั้งเป้าหมาย Carbon Neutality ภายในปี 2050 และจะพัฒนาสู่ Carbon Net Zero ภายในปี 2065 จากกรอบนโยบายที่ตั้งเป้าหมายไว้ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากขาดความร่วมมือของทุกภาคส่วนภายในประเทศ “ พบกับ 5 บริษัทที่ FDI ให้บริการให้คำปรึกษา ซึ่งในแต่ละบริษัทจะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้างนั้น ติดตามกันต่อได้ในบทความนี้  เจาะลึก “ความน่าสนใจในผลิตภัณฑ์และบริการ” ของทั้ง 5 บริษัท แรก ใน EP.1  นี้  วันนี้พบกับ Success Case ที่น่าสนใจของ 5 บริษัทที่ประสบความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอน ซึ่งให้การรับรองโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. โดยในแต่ละบริษัทจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดบ้าง และมีความน่าสนใจอย่างไร สามารถติดตามได้ในบทความนี้ ความมุ่งมั่นของเราในบริการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน บริการด้าน BCG / Environment & Sustainable Consulting เราได้มุ่งมั่นพัฒนาบริการด้านต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าเสมอมา และได้เล็งเห็นในความสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่ต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสังคมไทย สังคมโลก FDI ได้เริ่มให้คำปรึกษาบริษัทต่าง ๆ โดยได้เริ่มการบริการในปี 2023 เป็นต้นมา ซึ่งได้ให้คำปรึกษาไปแล้วมากกว่า 60 บริษัท จำนวนโครงการมากกว่า 70 โครงการ ในปีที่ผ่านมา  ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มบริษัทที่กำลังอบรมภายใน […]

カーボンラベル 持続可能性への道 環境と社会への責任を反映

ความสำคัญของการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนในประเทศไทย “ประเทศไทยตั้งเป้าหมาย Carbon Neutality ภายในปี 2050 และจะพัฒนาสู่ Carbon Net Zero ภายในปี 2065 จากกรอบนโยบายที่ตั้งเป้าหมายไว้ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากขาดความร่วมมือของทุกภาคส่วนภายในประเทศ “ การประกาศเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยต้องการบรรลุเป้าหมายนี้ภายในปี 2050 ผ่านการใช้พลังงานสะอาด เทคโนโลยีที่ยั่งยืน และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน แม้ว่าจะมีความท้าทาย แต่การดำเนินการเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนี้ ความสำคัญในการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในการปรับตัวนั้นเป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจ แต่ละองค์กรให้ความสำคัญในการทำธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น การขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนกับ อบก. ก็เป็นอีกกระบวนการที่สำคัญ ที่มีส่วนช่วยส่งเสริมให้บริษัทหรือองค์กรที่มีการผลิตสินค้าและบริการ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนนั้นมีความสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่  1.การกีดกันทางการค้าในตลาดต่างประเทศ และการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศอย่างยั่งยืน : หลายประเทศในยุโรปและภูมิภาคต่างๆ มีความเข้มงวดในการตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่นำเข้าหรือการผลิตสินค้า ในบางกรณี การมีฉลากคาร์บอนอาจช่วยให้องค์กรหรือบริษัทสามารถเข้าถึงตลาดเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนกับ อบก. ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืน สอดคล้องไปกับนโยบายของทางรัฐบาลที่จะพัฒนาสู่ Carbon Net Zero ภายในปี 2065 และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 2.การแสดงความมุ่งมั่นในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วน : แต่ละองค์กรธุรกิจมีความมุ่งมั่นและแสดงเจตนารมย์อย่างชัดเจนในการให้ความสำคัญ ขับเคลื่อนเป้าหมายที่สอดคล้องกับนโยบายของประเทศในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน  หรือในบางประเภทธุรกิจได้มีการจัดส่งสินค้า ผลิตภัณฑ์ส่งออกไปขายยังต่างประเทศ (อ่านต่อมาตรการ CBAM) ที่มีมาตรการรับซื้อสินค้าเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากคาร์บอนแล้วเท่านั้น การขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนกับ อบก. ก็เป็นอีกการรับรองที่ได้มาตรฐาน รวมถึงความน่าเชื่อถือในระดับสากล  3.การแสดงความมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน : การขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนช่วยกระตุ้นให้บริษัทดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ควบคุม ปรับเปลี่ยนปรับปรุงกระบวนการผลิต การบริหารจัดการในภาพรวมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด 4.การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค : ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความตระหนักและให้ความสำคัญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น การมีฉลากคาร์บอนช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าและบริการว่าเป็นสินค้าที่มีการผลิตโดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นที่ดี รวมถึงภาพลักษณ์ที่สำคัญให้กับองค์กรธุรกิจอีกด้วย  5.แรงจูงใจและสิทธิประโยชน์ การได้รับการสนับสนุนอื่นๆที่สำคัญจากภาครัฐ : การได้รับฉลากคาร์บอนทั้งในส่วนขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ จะสามารถเพิ่มโอกาสที่สำคัญจากการสนับสนุนหรือส่งเสริมจากทางภาครัฐ ทั้งในส่วนของนโยบายทางภาษีที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือโอกาสในการส่งเสริมการลงทุน  การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กรและผลิตภัณฑ์ เพื่อเป้าหมายที่สำคัญด้านสิ่งแวดล้อม การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นการลงทุนระยะยาวที่ช่วยเพิ่มมูลค่าและความยั่งยืนให้กับองค์กรและผลิตภัณฑ์ในยุคที่ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products หรือ CFP)  คือ การวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์หนึ่งหน่วย ตลอดวัฏจักรชีวิต ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ […]

ESG評価を理解する 企業への投資機会 環境と社会の持続可能性へ向けて

ESG Rating คือ อะไร? ทำไมต้องรู้จัก  ESG Rating คือ ผลการประเมินความยั่งยืนขององค์กรโดยพิจารณาจากเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental), สังคม (Social), และธรรมาภิบาล (Governance) โดยคะแนน ESG นี้มักใช้เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้นักลงทุนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถประเมินความเสี่ยงและโอกาสขององค์กรในเชิงความยั่งยืน  องค์ประกอบของ ESG Rating Environmental (สิ่งแวดล้อม)พิจารณาถึงผลกระทบขององค์กรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Emissions) การใช้ทรัพยากร (Resource Use) การจัดการของเสียและมลพิษ (Waste Management) การปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม Social (สังคม)พิจารณาจากด้านความสัมพันธ์ขององค์กรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น การดูแลพนักงาน (Employee Relations) ความเท่าเทียมในที่ทำงาน (Diversity and Inclusion) การเคารพสิทธิมนุษยชน (Human Rights) การมีส่วนร่วมในชุมชน (Community Engagement) Governance (ธรรมาภิบาล)ประเมินความโปร่งใสและการบริหารจัดการขององค์กร เช่น โครงสร้างคณะกรรมการและการกำกับดูแล (Board Structure) ความโปร่งใสทางการเงิน (Financial Transparency) การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) จริยธรรมและการปฏิบัติตามกฎหมาย (Ethics and Compliance) ESG Rating จะแสดงผลในรูปแบบคะแนนหรือระดับ เช่น AAA ถึง CCC หรือคะแนน 0-100 ซึ่งขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่ประเมิน ESG Rating โดยตัวอย่างหน่วยงานที่ให้บริการประเมิน ESG Rating ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่ Sustainalytics: ให้คะแนนความเสี่ยง ESG ตั้งแต่ 0-100 โดยคะแนนต่ำหมายถึงความเสี่ยงต่ำ MSCI: ให้เกรดตั้งแต่ AAA (ดีที่สุด) ถึง CCC (แย่ที่สุด) FTSE Russell: ประเมินคะแนน ESG ตั้งแต่ 0-5 โดย 5 คะแนนถือเป็น best practice สำหรับในประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกับ FTSE […]

カーボンフットプリントを企業で実施する重要な新しい機会 ビジネスの成功と環境の持続可能性への鍵

กุญแจสู่ความยั่งยืนในธุรกิจยุคใหม่ ต้องทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร เปลี่ยนองค์กรสู่ความยั่งยืน ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ธุรกิจต่าง ๆ ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความคาดหวังของสังคมที่มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการดำเนินกิจการภายใต้ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทำธุรกิจที่ส่งผลดีต่อสังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงข้อกำหนด นโยบาย กฏหมายจากภาครัฐ ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กร สามารถก้าวสู่ความยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม นั่นก็คือ การทำ คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint for Organization) ซึ่งไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นโอกาสใหม่ที่ดีในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ “การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นในธุรกิจยุคใหม่ องค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนจะได้รับผลประโยชน์ทั้งด้านการเงินและภาพลักษณ์ พร้อมก้าวสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกับโลกใบนี้”  คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรคืออะไร? คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร หมายถึง การวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas – GHG) จากกิจกรรมทั้งหมดขององค์กรในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยครอบคลุมกิจกรรมหลัก เช่น การใช้พลังงาน การจัดการของเสีย และการขนส่ง การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรทราบถึงแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซและสามารถกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ อ่านต่อ บริการด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก  ทำไมองค์กรต้องทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องทำ ?  ถ้าในสถานการณ์ปัจจุบันก็ต้องบอกว่ามีความจำเป็นที่ธุรกิจต้องทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ส่งออกสินค้าไปสหภาพยุโรป ในกลุ่ม ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และไฮโดรเจน รวมถึงภาคพลังงาน เกษตร และที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อลดการกีดกันทางการค้า รวมถึงโอกาสทางธุรกิจอีกมากมาย ในความจำเป็นสรุปได้ 5 ข้อหลักๆ คือ 1.การปฏิบัติตามข้อกำหนด นโยบาย กฏหมาย  สอดคล้องกับข้อกำหนดนโยบายของระเทศไทย ที่มุ่งเข้าสู้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 และองค์กรธุรกิจ เตรียมรับมือกับ พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ ภาษีคาร์บอน รวมไปถึงมาตรการ CBAM  (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป 2.ลดการกีดกันทางการค้า หรือ การเสียภาษีส่งออกในอัตราที่สูง ธุรกิจที่มีการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศจำเป็นต้องทำทั้งคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์และองค์กร เนื่องจากลดการกีดกันมาตรการทางการค้าจากนานาประเทศที่ใช้มาตรการนี้ เช่น CBAM  อ่านต่อ CBAM คืออะไร ?  3.การสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและสังคม  ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์แสดงถึงความโปร่งใสและความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นการสร้างโอกาสเติบโตของธุรกิจในอนาคต เพราะถ้าโลกนี้อยู่ได้ ธุรกิจก็ไปต่อได้เช่นกัน  4.การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การวิเคราะห์การปล่อยคาร์บอนช่วยให้องค์กรระบุจุดที่สิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากร ซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ 5.สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ […]

気候技術のトレンドまとめ ネットゼロへ向けて産業を推進するイノベーション 温室効果ガス削減のための産業と農業の支援ツール

จับตา”เทรนด์ Climate Tech” ที่มีช่วยในการลดก๊าซเรือนกระจก ภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร อย่างที่เราทราบกันดีว่าในปัจจุบันภาวะโลกร้อนนั้น เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมทั่วโลก สาเหตุหลักมาจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ซึ่งเพิ่มความร้อนในระบบโลกและส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ทั่วโลกต่างต้องร่วมมือกัน การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Tech มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ นำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาใช้ควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อช่วยลดการปล่อยมลพิษ และมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ตามที่ประเทศไทยตั้งเป้าไว้  จากงานวิจัยที่น่าสนใจจาก McKinsey เกี่ยวกับในเรื่องของ “Climate Tech” ที่มีส่วนช่วยในการควบคุมภูมิอากาศด้วยเทคโนโลยี เป็นนวัตกรรมการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยลดการปล่อยมลพิษและการลดก๊าซเรือนกระจก ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าหากได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ก็จะสามารถช่วยลดการปล่อยมลพิษได้ประมาณ 60% เพื่อรักษาเสถียรภาพของสภาพอากาศภายในปี ค.ศ. 2050 ด้วย 5 กลุ่ม Climate Tech ที่สามารถดึงดูดเงินลงทุนกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปี ค.ศ. 2025 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี ค.ศ. 2050 ได้แก่ พลังงานไฟฟ้า (Electrification) เกษตรกรรม (Agriculture) สร้างโครงข่ายไฟฟ้า (Power grid) การใช้ไฮโดรเจน (Hydrogen) การดักจับคาร์บอน (Carbon capture) ในเรื่องของ Climate Tech ที่ได้รับการพัฒนา ปรับเปลี่ยน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าติดตามกันต่อ ในบทความนี้ FDI จะพามาดู 5 เทคโนโลยีที่น่าสนใจที่เป็นตัวช่วยในการลดก๊าซเรือนกระจก ภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงอุปสรรคที่เกิดขึ้นหากต้องการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในการขยายธุรกิจ แต่ละเทคโนโลยีจะมีความน่าสนใจอย่างไรนั้น ไปติดตามกันได้ในบทความนี้  รวม 5 เทรนด์ที่น่าสนใจในการลดภาวะโลกร้อนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  1.การเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานให้อยู่ในพลังงานไฟฟ้า (Electrification)  ถ้าหากจะเปลี่ยนพลังงานที่ใช้อยู่แล้วในปัจจุบันทั้งหมดให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยทันทีคงไม่สามารถทำได้ แต่ต้องเริ่มจากการอาศัยการเปลี่ยนพลังงานทั้งของตัวอาคาร เครื่องจักรอุตสาหกรรม รวมถึงยานยนต์เดิมที่ใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลในการขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า หรือใช้พลังงานสะอาดเป็นทางเลือก เช่น รถยนต์ เปลี่ยนมาใช้แบตเตอรี่ EV  ระบบอาคารก่อสร้างให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำ หรือระบบเตาเผาอุตสาหกรรมโดยเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก  การพัฒนาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ดีกว่าเดิม หาแนวทางพัฒนาแบตเตอรี่ EV ให้ดีกว่าเดิม และลดต้นทุนแบตเตอรี่ให้ได้ครึ่งหนึ่งของยานยนต์ EV หรือจะต้องต่ำกว่าราคาแบตเตอรี่ในปัจจุบันที่อยู่ที่ 100 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ โดยการปรับปรุงส่วนประกอบภายในเพื่อที่จะเพิ่มความหนาแน่นพลังงานและลดต้นทุนซึ่งเห็นได้จากบริษัทผู้ผลิตต่างเริ่มเปลี่ยนจากผลิตด้วยลิเธียมเป็นหลัก มาผลิตแอโนดที่มีซิลิกอนสูงขึ้น มีการเปลี่ยนสถานะการทำงานของแบตเตอรี่ลิเธียมจากของเหลวกลายเป็นของแข็ง […]

タイのカーボンクレジット市場 注目すべき! 世界市場と同様に増加傾向 新たな持続可能性の機会

ประเทศไทย มีการจัดทำโครงการการลดก๊าซเรือนกระจก ภาคสมัครใจ โดยใช้ชื่อว่า Thailand Voluntary Emission Reduction Program หรือ T-VER ซึ่งมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) โดยเป็นหน่วยงานที่ดูแลการขึ้นทะเบียน และ การรับรองคาร์บอนเครดิต โดยเป็นกลไกคาร์บอนเครดิตในรูปแบบ Governmental Crediting Mechanism คาร์บอนเครดิตคืออะไร ราคาคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย ความสำคัญที่เราต้องรู้ คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงหรือกักเก็บได้จากการทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับกรณีการดำเนินธุรกิจตามปกติ มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) ซึ่งปริมาณที่จะลดลงหรือกักเก็บนั้นต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐานต่าง ๆ และสามารถนำไปซื้อขายระหว่างผู้ต้องการชดเชยการปล่อยคาร์บอนและผู้ที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้  คาร์บอนเครดิต มาจากโครงการหลักๆ ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) และสร้างคาร์บอนเครดิตที่สามารถนำไปซื้อขายได้ โดยทั่วไปแล้ว โครงการเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ  1. โครงการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Reduction Projects) การลดการปล่อยก๊าซในอุตสาหกรรมหรือกระบวนการผลิตมุ่งเน้นในการปรับปรุงกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้พลังงานสะอาด, การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซ , การกำจัดน้ำเสีย ของเสีย , หรือการปรับปรุงเครื่องจักรให้มีการปล่อยก๊าซต่าง ๆ น้อยลง การเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงานโครงการที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (solar panels) หรือการใช้พลังงานลม (wind power) เป็นต้น  2. โครงการดูดซับคาร์บอน (Carbon Sequestration Projects) โครงการปลูกต้นไม้และการฟื้นฟูป่าเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการปลูกต้นไม้ มีวัตถุประสงค์เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ เช่น โครงการการปลูกป่า, การป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า, หรือการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่ไม่เคยมีป่า การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำและการจัดการดินการปรับปรุงพื้นที่ชุ่มน้ำหรือการจัดการดินเพื่อให้สามารถดูดซับคาร์บอนได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอดีต หรือการปรับปรุงการใช้ที่ดินในเกษตรกรรมที่สามารถช่วยดูดซับคาร์บอนมากขึ้น ทั้งสองประเภทนี้มีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและช่วยให้องค์กรต่าง ๆ นั้น บรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อกำหนดของข้อตกลงระหว่างประเทศได้รวดเร็วหรือเป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น  โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากการดำเนินธุรกิจปกติ จะต้องได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนตามมาตรฐานต่างๆ เป็นคาร์บอนเครดิตก่อน ผู้ดำเนินโครงการลดคาร์บอน (Supply) จึงจะสามารถนำไปขายแก่ผู้ต้องการชดเชยการปล่อยคาร์บอน (Demand) ได้นั่นเอง  ราคาคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบัน โดยราคาการซื้อขาย สามารถตรวจสอบและเช็คล่าสุดได้ที่เว็บไซต์ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการช่วยลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก  ทำไมคาร์บอนเครดิตถึงมีความสำคัญต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ? คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ใช้ในการกระตุ้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก […]

1 2