BCG

【セミナー案内】タイ北東部地域 中小企業対象
「中小企業の温室効果ガス排出実質ゼロ(NET ZERO)の為の準備」

ปลดล๊อคธุรกิจสู่ความยั่งยืนด้วย Net Zero ใครพร้อมได้ไปต่อ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ร่วมกับ บริษัท เอฟ ดี ไอ แอคเค้าติ้งค์ แอนด์ แอดไวซเซอร์รี่ จำกัด และ บริษัท โนวา กรีน เพาเวอร์ จำกัด นำทัพที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน จัดงาน “การเตรียมความพร้อม SME ไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (NET ZERO)” เข้าร่วมงานฟรี….พร้อมรับสิทธิพิเศษภายในงาน วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2567  เวลา 09.00 – 15.00 น. ห้องประชุม B406 ชั้น 4 อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (จ. นครราชสีมา) พบกับกิจกรรมสุด Exclusive สัมมนาเพื่อสร้างความตระหนักและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (NET ZERO) ให้กับผู้ประกอบการ ธุรกิจ SME ให้คำปรึกษาเชิงลึกระยะสั้นกับผู้ประกอบการ SME ในการวิเคราะห์ความพร้อมขององค์กรในด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (NET ZERO) บรรยายพิเศษ Carbon Net ZERO 2065 และผลกระทบที่ SME ต้องเตรียมรับมือ คุณนันทพัชร ณ สงขลา ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กรและผู้ช่วยประธานบริหารกลุ่มบริษัท FDI ESG trend ความเสี่ยง หาก SME ไม่ปรับตัว คุณจริยวดี บุบผา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนวา กรีน เพาเวอร์ จำกัด Privilege and support from Government ดร. นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการฝ่ายโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม สวทช. พิเศษสุด…..รับสิทธิ์การสนับสนุนที่ปรึกษาเชิงลึกระยะสั้น 50,000 บาท (จำนวนจำกัด)  กลุ่มเป้าหมาย ผู้บริหารระดับสูง เจ้าของ ธุรกิจ SME บุคคลากรในภาคอุตสาหกรรมที่สนใจเกี่ยวกับความยั่งยืนและ Net Zero พลาดไม่ได้… ลงทะเบียนร่วมงานฟรี >> https://shorturl.asia/d31Mg แผนที่เดินทาง: https://maps.app.goo.gl/Tug9pA9FPB5AC8ij8?g_st=il สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ดร.ประภัสสร (หนิง) โทร. 081-854-1844 E-mail: bcd@nstda.or.th ———————————————- งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของ […]

炭素税導入前に準備しておくべきこと

ในยุคที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อโลกทั้งระบบ มนุษย์จึงต้องหาวิธีแก้ไขอย่างจริงจัง หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังให้ความสนใจคือ “ภาษีคาร์บอน” บทความนี้จะอธิบาย carbon tax คือ อะไร carbon tax คือ อะไร ? ภาษีคาร์บอน หรือ carbon tax คือ ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากผู้ประกอบการและองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), มีเทน (CH4), ไนตรัสออกไซด์ (N2O) และก๊าซกลุ่มฟลูออริเนต (F-Gases) เป็นต้น ที่เกิดจาก กระบวนการผลิตสินค้าและบริการ ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจ เช่น การผลิตกระแสไฟฟ้า การบำบัดน้ำเสีย การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเดินทางขนส่ง ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการตัดไม้ รวมถึงการเดินเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น วัตถุประสงค์ของ carbon tax คือ อะไร ? 1. ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการเพิ่มต้นทุนของสินค้าและบริการที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคหันมาใช้สินค้าและบริการที่มีมลพิษคาร์บอนต่ำ ส่งผลต่อพฤติกรรมการผลิตและการบริโภค 2. สร้างรายได้เพื่อสนับสนุนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลสามารถนำรายได้จากภาษีคาร์บอนไปลงทุนในโครงการต่างๆ เช่น พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีสีเขียว การปลูกป่า การอนุรักษ์พลังงาน การวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเภทของภาษีคาร์บอน ภาษีคาร์บอนทางตรง: เก็บภาษีจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการผลิตสินค้าโดยตรง ซึ่งมักจะมีอัตราภาษีที่สูงกว่า เช่น การผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิล, การเผาไหม้ของเครื่องจักรในโรงงาน, การเผาขยะและการบำบัดน้ำเสีย, การเผาไหม้ของยานพาหนะต่างๆ, การผลิตปูนซีเมนต์และเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ ฯลฯ ภาษีคาร์บอนทางอ้อม: เก็บภาษีจากสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ถ่านหิน ยานพาหนะ ฯลฯ ตัวอย่างประเทศที่ใช้ภาษีคาร์บอน ปัจจุบันมีประเทศที่ใช้ภาษีคาร์บอนอยู่กว่า 30 ประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นประเทศในทวีปยุโรป เช่น ฟินแลนด์ เป็นประเทศแรกที่บังคับใช้ภาษีคาร์บอนในปี 1990 เริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไปจากฐานภาษีที่ต่ำเพียง 75 ดอลลาร์ต่อตัน CO2 ก่อนที่จะค่อยๆ ทยอยเพิ่มอัตราภาษีให้สูงขึ้น จนปัจจุบันฟินแลนด์เก็บภาษีคาร์บอนเฉลี่ยที่ 83.74 ดอลลาร์ต่อตัน CO2 เนเธอร์แลนด์ เริ่มใช้ปี 1990 จัดเก็บกาษีสิ่งแวดล้อมจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทุกประเภทนำรายได้จากภาษีกลับสู่ระบบเครษฐกิจผ่านการลดภาษี และกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคา เดนมาร์ก เริ่มใช้ปี […]

炭素税によるタイ経済への影響

เนื่องจากปัญหาโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม หลายประเทศทั่วโลกจึงหันมาใช้นโยบาย “ภาษีคาร์บอน” เป็นเครื่องมือในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภาษี คาร์บอน คืออะไร? ภาษี คาร์บอน เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อเก็บภาษีจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป้าหมายหลักคือเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการและประชาชนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ กลไกการทำงานของ ภาษี คาร์บอน รัฐบาลกำหนดอัตราภาษีคาร์บอน ขึ้นอยู่กับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา ผู้ประกอบการต้องจ่ายภาษีคาร์บอนตามปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดภาระภาษี ผู้บริโภคอาจจะจ่ายเงินเพิ่มสำหรับสินค้าและบริการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ผลกระทบของ ภาษี คาร์บอน ต่อเศรษฐกิจไทย ผลกระทบของภาษีคาร์บอนต่อเศรษฐกิจไทยนั้น มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อัตราภาษีคาร์บอน กลไกการจัดเก็บ กลุ่มเป้าหมาย มาตรการสนับสนุนเสริม และความพร้อมของภาคธุรกิจและประชาชน ผลกระทบเชิงบวก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: ภาษีคาร์บอนจะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการและประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด พัฒนาวิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือใช้สินค้าที่มีมลพิษน้อยลง ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว: ภาษีคาร์บอนจะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวและพลังงานหมุนเวียน นำไปสู่การเกิดงานใหม่และโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ปรับปรุงคุณภาพอากาศ: การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะช่วยลดมลพิษทางอากาศ ส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม เพิ่มรายได้ภาษี: รัฐบาลสามารถนำรายได้จากภาษีคาร์บอนไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว และช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน: การใช้นโยบายภาษีคาร์บอนจะช่วยให้ไทยปรับตัวเข้ากับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมโลก ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ผลกระทบเชิงลบ ต้นทุนสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น: ภาษีคาร์บอนจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ผู้บริโภคอาจมีกำลังซื้อลดลง กระทบต่อภาคธุรกิจ: ภาคธุรกิจที่ต้องใช้พลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก อาจได้รับผลกระทบจากภาษีคาร์บอน สูญเสียงาน: ธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาจต้องปิดกิจการหรือลดจำนวนพนักงาน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม: ภาษีคาร์บอนอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยมากกว่ากลุ่มผู้มีรายได้สูง แนวทางการลดผลกระทบเชิงลบ ภาษี คาร์บอน กำหนดอัตราภาษีคาร์บอนที่เหมาะสม: อัตราภาษีคาร์บอนควรไม่สูงจนทำให้เกิดภาระหนักเกินไปต่อภาคธุรกิจและประชาชน แต่ก็ควรสูงพอที่จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม กลไกการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพ: รัฐบาลควรออกแบบกลไกการจัดเก็บภาษีคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรม มาตรการสนับสนุนเสริม: รัฐบาลควรให้การสนับสนุนภาคธุรกิจและประชาชนในการปรับตัวต่อภาษีคาร์บอน เช่น การให้เงินสนับสนุน การลดหย่อนภาษี การให้คำปรึกษาแนะนำ สร้างความตระหนักรู้: รัฐบาลควรสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาษีคาร์บอนและประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม FDI Accounting and Advisory มุ่งมั่นสนับสนุนธุรกิจของคุณสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยบริการที่ปรึกษาสิ่งแวดล้อมครบวงจรและรวมถึงภาษี คาร์บอน ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามีประสบการณ์และความรู้เชิงลึกพร้อมช่วยคุณเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน บริการของเรา ให้คำปรึกษา BCG (Bio-Circular-Green Economy Business Model) บริการประเมิน และ จัดทำ Carbon Footprint […]

温室効果ガスの基礎知識

ก๊าซเรือนกระจก คือ กลุ่มก๊าซธรรมชาติและก๊าซที่มนุษย์สร้างขึ้นในชั้นบรรยากาศโลกที่มีคุณสมบัติพิเศษสามารถดูดซับและกักเก็บรังสีอินฟราเรด (Infrared Radiation) ไว้ได้ ก๊าซเหล่านี้เปรียบเสมือนฉนวนกันความร้อน ทำให้โลกเกิดปรากฏการณ์ “เรือนกระจก” เปรียบเสมือนหลังคาเรือนกระจก ช่วยรักษาอุณหภูมิโลกให้อบอุ่นและเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต แต่หากมีมากเกินไปอาจก่อให้เกิด “ภาวะโลกร้อน” ได้ ก๊าซเรือนกระจก คือ การประกอบด้วยก๊าซต่างๆ ดังนี้ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) : เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า ฯลฯ มีเทน (CH4) : เกิดจากกิจกรรมเกษตรกรรม การย่อยสลายของอินทรียวัตถุ ฯลฯ ไนตรัสออกไซด์ (N2O) : เกิดจากกิจกรรมทางการเกษตร การเผาไหม้เชื้อเพลิง การใช้ปุ๋ย ฯลฯ ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) : เป็นก๊าซสังเคราะห์ที่ใช้แทนสาร CFC ก๊าซเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) : เป็นก๊าซสังเคราะห์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) : เป็นก๊าซสังเคราะห์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า ก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3) : เป็นก๊าซสังเคราะห์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ผลกระทบของก๊าซเรือนกระจก คือ ภาวะโลกร้อน: ก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น ทำให้รังสีอินฟราเรดถูกกักเก็บมากขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น เกิดภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ภาวะโลกร้อน ส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศของโลก เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น พายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ฯลฯ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น: อุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้ธารน้ำแข็งละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ผลกระทบต่อระบบนิเวศ:ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อพืชและสัตว์กำลังดิ้นรนเพื่อปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิที่สูงขึ้นและรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์: ความร้อนจัดทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อน เช่น โรคลมแดดและโรคหัวใจ นอกจากนี้ภัยแล้งสามารถนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและความอดอยาก แนวทางการแก้ไขก๊าซเรือนกระจก ระดับองค์กร การแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กรนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ องค์กรต่างๆ สามารถดำเนินการได้หลายประการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก วัดและติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขั้นตอนแรกในการแก้ไขปัญหาคือการวัดและติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร สิ่งนี้สามารถทำได้โดยการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งเป็นการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่องค์กรปล่อยออกมาในหนึ่งปี เมื่อองค์กรทราบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ก็สามารถเริ่มระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญและพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เมื่อองค์กรทราบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ก็สามารถตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เป้าหมายควรมีความท้าทายแต่ก็เป็นไปได้ และควรสอดคล้องกับเป้าหมายระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยประเทศไทยมีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้เสนอไว้กับประชาคมโลก (National Determined Contribution – NDC) โดยภายในปี 2030 จะต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 20 – 25 […]

タイのカーボンクレジット市場におけるビジネス チャンス

กระแสโลกร้อน กำลังเร่งให้หลายประเทศทั่วโลกมุ่งสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ส่งผลให้เกิด ตลาดคาร์บอนเครดิต ที่มีมูลค่ามหาศาล กลายเป็น โอกาสทองของธุรกิจไทยในหลายภาคส่วนในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน บทความนี้จะมาพูดถึง ตลาด carbon credit ไทย ตลาดคาร์บอนเครดิตคืออะไร? ตลาดคาร์บอนเครดิต เปรียบเสมือนตลาดซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก  โดย 1 หน่วยคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เท่ากับ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ธุรกิจหรือองค์กรที่ต้องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินโควต้าที่กำหนด จำเป็นต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากผู้ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าโควต้า ทำไมธุรกิจไทยต้องจับจ้องตลาดคาร์บอนเครดิต? ตลาดขนาดใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็ว: คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดคาร์บอนเครดิตโลกจะแตะ 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการคาร์บอนเครดิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โอกาสสร้างรายได้ใหม่: ธุรกิจไทยสามารถสร้างรายได้จากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กร และนำคาร์บอนเครดิตที่เหลือมาขายในตลาด หรือลงทุนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อสร้างคาร์บอนเครดิตเพื่อขาย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ธุรกิจที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ย่อมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ดึงดูดลูกค้า และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว: ภาครัฐไทยมีนโยบายส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนธุรกิจสีเขียว เปิดทางให้ธุรกิจไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุน เทคโนโลยี และความรู้ ธุรกิจไทยมีโอกาสอะไรบ้างในตลาดคาร์บอนเครดิต? ภาคเกษตร: ไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตคาร์บอนเครดิตจากภาคเกษตร โดยเฉพาะการปลูกป่า การทำเกษตรอินทรีย์ การจัดการน้ำและดินอย่างยั่งยืน ภาคพลังงาน: ธุรกิจที่เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน หรือพัฒนาระบบประหยัดพลังงาน สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตเพื่อขาย ภาคอุตสาหกรรม: ธุรกิจที่ปรับกระบวนการผลิต ลดการใช้พลังงาน และจัดการมลพิษอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตเพื่อขาย ภาคบริการ: ธุรกิจที่ให้บริการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การรีไซเคิล การบำบัดน้ำเสีย การให้คำปรึกษาเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก ล้วนมีโอกาสเติบโตในตลาดคาร์บอนเครดิต อย่างไรก็ตามตลาด carbon credit ไทย ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ ความรู้และความเข้าใจ: ธุรกิจไทยยังมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดคาร์บอนเครดิตที่จำกัด หากท่านที่กำลังเริ่มศึกษาคาร์บอนเครดิต การใช้ที่ปรึกษาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์คุณได้ ซึ่งทาง FDI A&A ให้บริการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ คาร์บอนเครดิต และ carbon credit ไทยโดยผู้เชี่ยวชาญมากด้วยความรู้และประสบการณ์ พร้อมช่วยธุรกิจของคุณไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน มาตรฐานและกฎระเบียบ: carbon credit ไทย ยังไม่มีมาตรฐานคาร์บอนเครดิตที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล แหล่งเงินทุน: ธุรกิจไทยต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจก เทคโนโลยี: ธุรกิจไทยจำเป็นต้องเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับการติดตาม วัดผล และตรวจสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก FDI […]

二酸化炭素排出量のカテゴリー詳細

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) คือ ตัวชี้วัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ของบุคคล องค์กร หรือผลิตภัณฑ์ เปรียบเสมือนรอยเท้าคาร์บอนที่บ่งบอกถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยวัดออกมาในหน่วย ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) การวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์มีความสำคัญต่อทั้งบุคคล องค์กร และสังคมโดยรวม ช่วยให้เราเข้าใจถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมต่างๆ กระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ มีกี่ประเภท คาร์บอนฟุตพริ้นท์สามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ดังนี้ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization – CFO) สำหรับอันดับแรกของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ มีกี่ประเภท คือ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององคกร์ โดยวัดผลปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมการดำเนินงานขององค์กร เช่น การใช้พลังงาน การผลิตสินค้า การขนส่ง วัตถุดิบ ฯลฯ ข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรช่วยให้ธุรกิจเข้าใจถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กระตุ้นให้เกิดกลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน บริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดึงดูดนักลงทุนและลูกค้าที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท (Scope) ดังนี้ Scope 1: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงจากกิจกรรมขององค์กร เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงาน การใช้เครื่องจักร Scope 2: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อมาจากภายนอก Scope 3: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์กร เช่น การเดินทางของพนักงาน การจัดส่งสินค้า การผลิตวัตถุดิบ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product – CFP) วัดผลปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การเริ่มต้นวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์จนสิ้นสุด ซึ่งข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากผลิตภัณฑ์ที่เลือกซื้อ กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก วัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้ การจัดหาวัตถุดิบ: ขั้นตอนนี้รวมถึงการเก็บเกี่ยวพืชผล และการเลี้ยงสัตว์ การผลิต: ขั้นตอนนี้รวมถึงกระบวนการแปรรูปวัตถุดิบ การประกอบชิ้นส่วน และการบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง: ขั้นตอนนี้รวมถึงการขนส่งวัตถุดิบ ชิ้นส่วนที่ผลิตเสร็จแล้ว และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป การใช้งาน: ขั้นตอนนี้รวมถึงการใช้พลังงาน การบำรุงรักษา และการซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ การกำจัดซากผลิตภัณฑ์: ขั้นตอนนี้รวมถึงการรีไซเคิล การเผาไหม้ หรือการฝังกลบผลิตภัณฑ์ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของกิจกรรม (Event Carbon Footprint) […]

カーボンフットプリントとは?
(Carbon Footprint for Organization – CFO)

ในยุคปัจจุบันที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรง องค์กรธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกต่างตระหนักถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและกำหนดกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นคือ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Organizational Carbon Footprint – CFO) คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร คืออะไร? คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่องค์กรปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร วัดออกมาในรูปตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะครอบคลุมกิจกรรมทั้งทางตรงและทางอ้อมขององค์กร Scope 1: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากกิจกรรมขององค์กร เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง การใช้เครื่องจักร การปล่อยก๊าซมีเทนจากหลุมฝังกลบ Scope 2: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ซื้อจากภายนอก Scope 3: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ จากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับองค์กร เช่น การขนส่งสินค้า การเดินทางของพนักงาน การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ประโยชน์ของการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เข้าใจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ช่วยให้องค์กรทราบปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร ช่วยให้เข้าใจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจน กำหนดกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: เมื่อทราบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว องค์กรสามารถกำหนดกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย: การลดการใช้พลังงานและทรัพยากรต่างๆ ช่วยให้องค์ประหยัดค่าใช้จ่าย เสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร: องค์กรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมีภาพลักษณ์ที่ดี ดึงดูดนักลงทุน ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ เตรียมพร้อมสำหรับกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น: ในอนาคต รัฐบาลต่างๆ อาจมีกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก องค์กรที่เตรียมพร้อมรับมือกับกฎระเบียบเหล่านี้จะอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ บริการของ FDI ในการประเมิน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร เช่น การใช้พลังงาน การใช้น้ำมัน การขนส่ง การจัดการของเสีย วิเคราะห์และคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจ/ผลิตภัณฑ์/โครงการเฉพาะกิจ/กิจกรรมนอกเหนือการดำเนินงานโดยปกติ ทั้งกิจกรรมทางตรงและทางอ้อม อย่างแม่นยำ ถูกต้อง โปร่งใส ตามหลักการ ISO 14064, ISO 14065, ISO 14067, ISO 14069 และตามข้อกำหนดโดยประกาศจาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ระบุขอบเขตการประเมินและแหล่งกำเนิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก ร่วมพัฒนาแผนลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นต์ (Decarbonization Project) หลังจากที่ได้ดำเนินการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว เสนอตัวอย่างกิจกรรมที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขึ้นทะเบียนรับรองเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) จัดทำรายงานผลการประเมิน Carbon Footprint คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรวัดและติดตามผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมควรคำนึงถึงการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อีกด้วย หากท่านใดสงสับเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร FDI พร้อมให้บริการตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อธุรกิจที่ยั่งยืนของคุณ FDI Accounting […]

FDI新サービスのご案内
【 カーボン ネット ゼロ イベント サービス】

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก องค์กรต่างๆ ทั่วโลกต่างมุ่งมั่นสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) บริการ Carbon Net Zero Event จาก FDI Accounting and Advisory เข้ามาตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรต่างๆ ที่ต้องการจัดงานอีเวนต์อย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยช่วยให้องค์กรของคุณวางแผน ติดตาม จัดการ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ พร้อมแผนรองรับเพื่อก้าวเข้าสู่ Carbon Neutral Event FDI Accounting and Advisory นำเสนอบริการ Carbon Net Zero Event ที่ครอบคลุมสำหรับงานอีเวนต์ประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การจัดงานสัมมนา (Seminar) การจัดประชุมคู่ค้า (Business Meeting) การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) การประชุมนานาชาติ (Convention) การจัดแสดงสินค้าหรือนิทรรศการ (Exhibition) อุตสาหกรรมไมซ์ MICE (Meeting, Incentive, Convention, และ Exhibition) ด้วยบริการ Carbon Net Zero Event ของเรา องค์กรของคุณจะได้รับประโยชน์ดังนี้ บรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม: ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากงานอีเวนต์ของคุณและแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ยั่งยืน: เพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กรในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืน ดึงดูดนักลงทุน ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความคิดสอดคล้องกัน ประหยัดค่าใช้จ่าย: ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน วัสดุสิ้นเปลือง และการขนส่ง ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย: ตอบสนองข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น สร้างแรงจูงใจให้พนักงาน: ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม บริการ Carbon Net Zero Event ของเรามีขั้นตอนดังนี้ การวางแผนและออกแบบงาน กำหนดขอบเขตของงานอีเวนต์ ระบุแหล่งที่มาของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คำนวณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พัฒนากลยุทธ์การลดคาร์บอน กำหนดแผนปฏิบัติการ การวัดและติดตามคาร์บอนฟุตพรินท์ คำนวณคาร์บอนฟุตพรินท์ของงานของคุณอย่างแม่นยำโดยใช้วิธีการที่ได้รับการยอมรับ ติดตามคาร์บอนฟุตพรินท์ของงานทั้งทางตรงและทางอ้อม การลดคาร์บอนฟุตพรินท์ ระบุโอกาสในการลดคาร์บอนฟุตพรินท์ของงานของคุณ แนะนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ช่วยคุณนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดไปใช้ การชดเชยคาร์บอน พัฒนากลยุทธ์การชดเชยคาร์บอนที่เหมาะกับงานของคุณ จัดหาคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่ได้รับการรับรอง การขึ้นทะเบียน Carbon Event ตรวจสอบคุณสมบัติของงานของคุณ จัดเตรียมเอกสาร ประสานงานกับผู้ตรวจสอบ รับใบรับรอง Carbon Neutral Event […]

持続可能なビジネスに導く戦略的グリーンビジネス

ในยุคปัจจุบัน ปัญหาสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อโลกของเราอย่างมาก ธุรกิจต่าง ๆ จำเป็นต้องปรับตัวและดำเนินการอย่างยั่งยืนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมสีเขียว จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยนำธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน อุตสาหกรรมสีเขียวคืออะไร? อุตสาหกรรมสีเขียว หมายถึง ธุรกิจที่มุ่งเน้นการผลิตและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดมลพิษ ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน กลยุทธ์การนำอุตสาหกรรมสีเขียวมาใช้จะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในหลายมิติ 1. มิติเศรษฐกิจ ลดต้นทุนการผลิต : การใช้วัสดุรีไซเคิล พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลกำไร สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ : ตลาดสินค้าและบริการสีเขียวกำลังเติบโต ธุรกิจที่ปรับตัวเข้าหาเทรนด์นี้ จะมีโอกาสขยายตลาดและสร้างรายได้ใหม่ สร้างภาพลักษณ์ที่ดี : ธุรกิจสีเขียวจะดึงดูดลูกค้า พันธมิตร และนักลงทุน ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม 2. มิติสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษ : การใช้วัสดุและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดมลพิษทางอากาศ น้ำ และเสียง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : การใช้พลังงานหมุนเวียน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ : การใช้วัสดุรีไซเคิล ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติใหม่ 3. มิติสังคม ส่งเสริมสุขภาพที่ดี : การลดมลพิษ ช่วยสร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับชุมชน สร้างงาน : ธุรกิจสีเขียวสร้างงานใหม่ในภาคเศรษฐกิจสีเขียว พัฒนาชุมชน : ธุรกิจสีเขียวสามารถสนับสนุนโครงการพัฒนาชุมชน กลยุทธ์นำธุรกิจสู่ความยั่งยืนด้วย อุตสาหกรรมสีเขียว 1. การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต มุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยมลพิษและของเสีย พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการรีไซเคิลและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน 2. การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด พัฒนาระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สนับสนุนชุมชนท้องถิ่นในการรักษาสิ่งแวดล้อม 3. ความรับผิดชอบต่อสังคม ดูแลความปลอดภัยและสุขภาพของพนักงาน ส่งเสริมการจ้างงานอย่างเป็นธรรม พัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนท้องถิ่น สนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม 4. การสร้างความร่วมมือ ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชน ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว แบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับธุรกิจอื่น สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว 5. การสื่อสาร ประชาสัมพันธ์นโยบายและแนวทางการดำเนินธุรกิจสีเขียวขององค์กร สื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมสีเขียว กระตุ้นให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ระดับของอุตสาหกรรมสีเขียว กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนดระดับของอุตสาหกรรมสีเขียวไว้ 5 ระดับ ดังนี้ ระดับที่ 1 ความมุ่งมั่นสีเขียว (Green Commitment) ระดับที่ 2 […]

カーボンクレジットとは?

คาร์บอนเครดิต หมายถึง สิทธิที่บุคคลหรือองค์กรได้รับจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เปรียบเสมือน “ใบอนุญาต” ที่สามารถนำไปซื้อขายในตลาดคาร์บอนเครดิต โดย 1 คาร์บอนเครดิต เท่ากับ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ซึ่งสามารถเกิดขึ้นจากการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากโครงการต่างๆ เช่น การปลูกป่า การใช้พลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นต้น ขั้นตอนการจัดทำ คาร์บอนเครดิต 1. การพัฒนาโครงการ กำหนดประเภทโครงการ ว่าจะเป็นโครงการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ การดูดกลับก๊าซเรือนกระจก ตัวอย่างโครงการ เช่น การใช้พลังงานทดแทน การปลูกป่า การจัดการของเสีย ฯลฯ ออกแบบโครงการ โดยระบุวิธีการลดหรือกักเก็บคาร์บอน ประมาณการปริมาณก๊าซเรือนกระจก กำหนดเป้าหมาย ระยะเวลา งบประมาณ ฯลฯ ศึกษาและปฏิบัติตามมาตรฐาน โดยเลือกมาตรฐานที่เหมาะสมกับโครงการ เช่น มาตรฐาน T-VER ของไทย มาตรฐาน Gold Standard มาตรฐาน VCS ฯลฯ 2. การขึ้นทะเบียนโครงการ ยื่นขอขึ้นทะเบียนโครงการกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยในไทยยื่นกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เตรียมเอกสารประกอบ รายละเอียดโครงการ ผลการศึกษาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เอกสารสิทธิ์ในที่ดิน ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ฯลฯ อบก. พิจารณาและตรวจสอบคุณสมบัติของโครงการ 3. การรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก จ้างหน่วยตรวจสอบอิสระ หน่วยตรวจสอบจะตรวจสอบและรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงหรือกักเก็บได้จริง ดำเนินการตรวจสอบตามมาตรฐาน หน่วยตรวจสอบจะตรวจสอบข้อมูล เอกสาร สถานที่ การดำเนินงาน ฯลฯ ออกใบรับรองคาร์บอนเครดิต หน่วยตรวจสอบจะออกใบรับรองจำนวนคาร์บอนเครดิตที่โครงการได้รับ 4. การซื้อขาย คาร์บอนเครดิต ผู้ขายและผู้ซื้อตกลงราคาและปริมาณคาร์บอนเครดิต ดำเนินการซื้อขายผ่านระบบทะเบียนคาร์บอนเครดิตในไทย โดยใช้ระบบ T-VER Credit อบก. ตรวจสอบและบันทึกการซื้อขาย 5. การชดเชยคาร์บอนเครดิต ผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตน แจ้งความประสงค์การใช้คาร์บอนเครดิตต่อ อบก. อบก. ตรวจสอบและยกเลิกคาร์บอนเครดิตจากบัญชีผู้ซื้อ ประโยชน์ของ คาร์บอนเครดิต คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) มีประโยชน์มากมายภายในและนอกองค์กรทั้งต่อผู้ซื้อ ผู้ขาย และต่อโลกโดยรวม ดังนี้ 1. ประโยชน์ต่อผู้ซื้อ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของบริษัทหรือองค์กร […]

1 2 3 4 5