FDI

ก่อนเข้าไทยต้องรู้! วีซ่าเข้าไทยมีกี่ประเภท แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร ?

เมื่อมีแผนเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม การเข้าใจ ประเภทของวีซ่า ที่เหมาะสมถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะวีซ่าแต่ละประเภทมีข้อกำหนด ระยะเวลา และเงื่อนไขที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์ของการเข้ามาในประเภทไทย รวมถึงข้อกำหนดทางด้านกฏหมายที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  ต้องรู้เรื่องนี้ ! วีซ่าเข้าไทยมีกี่ประเภท ?  กรมการกงศุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ข้อมูลสำคัญไว้อย่างน่าสนใจ ในเรื่องของประเภทและหลักเกณฑ์การขอ Visa ไว้ดังนี้  1.ประเภทคนอยู่ชั่วคราวเพื่อการพำนักในราชอาณาจักรระยะยาว (Long Stay O-A , O-X)  2.ประเภทอัธยาศัยไมตรี (Courtesy Visa) 3.ประเภทราชการ (Official Visa) 4.ประเภททูต (Diplomatic Visa) 5.ประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant Visa) 6.ประเภทนักท่องเที่ยว (Tourist Visa) 7.ประเภทคนเดินทางผ่านราชอาณาจักร (Transit Visa) ซึ่งถ้าหากต้องการอ่านรายละเอียดหลักเกณฑ์ในการยื่นขอ Visa แต่ละประเภท สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้เพิ่มเติม  เตรียมตัวก่อนเข้าประเทศไทย “เจาะลึก” ความแตกต่างของวีซ่าทั้ง 3 ประเภท 1. วีซ่าท่องเที่ยว (Tourist Visa) จุดประสงค์ : วีซ่าท่องเที่ยวเหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางมาไทยด้วยเหตุผลเพื่อ ท่องเที่ยว พักผ่อน เยี่ยมญาติ หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ เช่น การเข้าร่วมสัมมนาทั่วไป งานวัฒนธรรม หรือหลักสูตรระยะสั้นที่ไม่ใช่การศึกษาแบบเต็มเวลา ระยะเวลาพำนัก  วีซ่าท่องเที่ยวแบบ Single Entry อยู่ได้สูงสุด 60 วัน และสามารถต่ออายุได้อีก 30 วัน ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แบบ Multiple Entry อาจมีอายุวีซ่า 6 เดือน แต่ต้องเดินทางออกและเข้าใหม่ทุกครั้งที่ครบ 60 วัน ข้อจำกัดสำหรับวีซ่าประเภทนี้ : ห้ามทำงาน หรือดำเนินธุรกิจใด ๆ หากตรวจพบการทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต อาจถูกดำเนินคดีและส่งกลับประเทศต้นทาง  ตัวอย่างผู้ใช้งานวีซ่าท่องเที่ยว  นักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วไป ผู้มาเยี่ยมญาติในไทย ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางวัฒนธรรมระยะสั้น 2. วีซ่าธุรกิจ (Business Visa หรือ Non-Immigrant B) จุดประสงค์ : […]

พลังงานไฮโดรเจนกับเป้าหมาย Net Zero ทิศทางใหม่ของพลังงานสะอาดที่ต้องจับตา!

หนึ่งในพลังงานทางเลือกที่ถูกจับตามองมากที่สุดในทศวรรษนี้คือ “พลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen Energy)” หรือที่หลายคนเรียกสั้นๆ ว่า ไฮโดรเจนสะอาด พลังงานรูปแบบใหม่นี้ไม่เพียงแต่ไม่มีการปล่อยคาร์บอนขณะใช้งาน แต่ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ตั้งแต่ยานยนต์ การผลิตไฟฟ้า ไปจนถึงอุตสาหกรรมหนัก ถือได้ว่าเป็นพลังงานสะอาดที่น่าจับตา สู่ทิศทางในอนาคตที่น่าสนใจในการเลือกใช้พลังงานไฮโดรเจน พลังงานไฮโดรเจน หนึ่งในพลังงานสะอาดต่อเทรนด์พลังงานโลก ในปัจจุบันในหลายประเทศทั่วโลกกำลังเดินหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)  ประเทศไทยก็เช่นกัน โดยการตั้งเป้าหมายในการร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เพื่อให้เป้าหมายนี้สำเร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดได้จริง หนึ่งในพลังงานที่ถูกจับตามองและถือเป็นคีย์ที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (energy transition) และถูกมองว่าเป็นพลังงานทางเลือกในทิศทางใหม่ของโลกที่น่าสนใจคือ “ไฮโดรเจน” ไฮโดรเจน คืออะไร ?  สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจว่า ไฮโดรเจนเป็นธาตุที่เบาที่สุดและเป็นองค์ประกอบของน้ำ (H2O) นอกจากนี้ ยังเป็นธาตุที่รวมอยู่ในโมเลกุลของสารประกอบอื่นๆ เช่น สารประกอบจําพวกไฮโดรคาร์บอน (HC) คุณสมบัติทั่วไปของไฮโดรเจน คือ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย ไม่เป็นพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  ก๊าซไฮโดรเจนสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้และให้ความร้อน หรือนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าโดยป้อนเข้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ดังนั้น ไฮโดรเจนจึงถือเป็นแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงที่สำคัญอย่างมากในอนาคต ไฮโดรเจนคือพลังงานสะอาดได้อย่างไร ? ไฮโดรเจนถือเป็น “energy carrier” หรือพาหะพลังงานชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำพลังงานจากแหล่งอื่นได้ เช่น พลังงานหมุนเวียน มาสะสม เคลื่อนย้าย และสามารถแปลงเป็นไฟฟ้าได้ เชื้อเพลิง : เมื่อนำมาใช้ในเชื้อเพลิงเซลล์ (fuel cell) หรือเผาไหม้ จะให้พลังงานพร้อมการปล่อย “เพียงน้ำและไอน้ำ” เท่านั้น เซลล์เชื้อเพลิง : เป็นอุปกรณ์ที่แปลงไฮโดรเจนทางเคมีเป็นไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ปฏิกิริยาอิเล็กโทรเคมี (electrochemical) ซึ่งให้พลังงาน, น้ำ และความร้อน โดยไม่มีการเผาไหม้เกิดขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงพลังงานไฮโดรเจน จะทำให้ไม่เกิดมลพิษคาร์บอน โดยเชื้อเพลิงเซลล์สามารถใช้งานได้หลากหลาย เช่น ยานยนต์ , ระบบไฟฟ้าสำรอง , อาคาร , โรงงาน และตัวอย่างที่เห็นชัด คือรถยนต์ Toyota Mirai, Hyundai Nexo ฯลฯ ไฮโดรเจนแต่ละสีมีคุณสมบัติและการนำไปใช้อย่างไรบ้าง  จากคุณสมบัติของไฮโดรเจนที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แต่เราอาจเคยได้ยินการแบ่งประเภทไฮโดรเจนด้วย “สี” ไม่ว่าจะเป็น ไฮโดรเจนสีฟ้า ไฮโดรเจนสีเขียว หรือสีเทา และสีอื่น […]

ต้องรู้ ! วิธีดูงบการเงิน และ วิธีอ่านงบกระแสเงินสด เพื่อสภาพคล่องของธุรกิจ

หัวใจสำคัญ ในการบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในยุคที่เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “การบริหารสภาพคล่องทางการเงิน” ด้วย และหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เจ้าของธุรกิจและผู้บริหารทุกคนควรรู้จัก คือ “งบการเงิน” โดยเฉพาะ “งบกระแสเงินสด” ที่มักถูกมองข้าม บทความนี้จะทำให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของ Cash Flow ว่ามาจากไหน มีความเคลื่อนไหวอย่างไร วิธีการอ่าน ที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์กัน งบกระแสเงินสด (Cash Flow) คืออะไร ? งบกระแสเงินสด (Statement of Cash Flow) คือ งบการเงินที่แสดงการได้มา การใช้ไปของเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสดในกิจการ ซึ่งจะแสดงการเคลื่อนไหวของเงินสดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของกิจการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง รายได้ (Income) คือ เงินที่บริษัทได้จากการดำเนินธุรกิจ เช่น เงินที่ได้จากการขายสินค้าหรือบริการ รายจ่าย (Expense) คือ เงินที่บริษัทต้องจ่ายในการดำเนินธุรกิจ อาทิ ค่าเช่าสถานที่ ค่าอุปกรณ์การทำงาน เงินเดือนพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบ ทำไมต้องเข้าใจ “งบกระแสเงินสด” ? เพราะว่า งบกระแสเงินสดจะช่วยตอบคำถามว่า “ธุรกิจมีเงินสดพอใช้หรือไม่” เพราะในความเป็นจริง ธุรกิจที่มีกำไรอาจล้มละลายได้ หากไม่มีเงินสดเพียงพอจ่ายหนี้ จ่ายเงินเดือน และทราบถึงโครงสร้างทางการเงินของกิจการ ว่ามีการกู้หนี้ การชำระหนี้ หรือการออกหุ้นปันผลอย่างไร ตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งมียอดขาย 10 ล้านบาท และกำไร 1 ล้านบาท แต่ลูกค้าที่ยังไม่จ่ายเงินมีถึง 8 ล้านบาท หากไม่สามารถเก็บเงินได้ในเวลาตามกำหนด บริษัทนั้นอาจประสบภาวะขาดเงินหมุนเวียน แม้จะดูเหมือนกำลัง “มีกำไร” อยู่ก็ตาม ซึ่งจะทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงินไปด้วย 3 กิจกรรมในงบกระแสเงินสดมีอะไรบ้าง ?  ธนาคารกรุงไทย ให้ข้อมูลอย่างน่าสนใจว่า งบกระแสเงินสดแบ่งออกเป็น 3 กิจกรรมหลัก ที่สะท้อนถึงสภาพคล่อง แหล่งที่มา และการใช้จ่ายของเงินสดในกิจการ ดังนี้ 1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (Cash Flow from operating activities – CFO) หมายถึง กระแสเงินสดที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วยรายการรับและจ่ายเงินสดที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมหลักของกิจการ เช่น รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ ต้นทุนขาย ค่าเสื่อมราคา ค่าเช่า […]

เปลี่ยนโรงแรมให้รักษ์โลก ตอบโจทย์การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Hotel)

การเปลี่ยนโรงแรมให้เป็น Green Hotel ไม่เพียงแต่เป็นการปรับตัวตามกระแสความยั่งยืน แต่ยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีความใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยังเป็นนโยบายสำคัญที่ถือเป็นอีกพลังขับเคลื่อนให้เป็นประเทศไทยก้าวสู่ Net Zero ได้เร็วมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ปรับเพื่อเปลี่ยนให้โรงแรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) โรงแรมสีเขียว หรือ Green Hotel คือ โรงแรมที่ดำเนินงาน บริหารจัดการ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งในด้านพลังงาน การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการของเสีย การลดขยะที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไปจนถึงการปรับปรุงระบบการทำงานของพนักงานและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อสังคมของแขกผู้เข้าพัก เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการ “ลด ใช้ซ้ำ รีไซเคิล” (Reduce, Reuse, Recycle) และสอดรับกับแนวคิด การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) โดยยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานและคุณภาพในการให้บริการได้อย่างครบถ้วน เป้าหมายของ Green Hotel เพื่ออะไร ?  ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้น้อยลงหรือเป็นมิตรมากยิ่งขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการดำเนินงาน และการกำจัดของเสีย ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด รวมถึงพลังงานที่ยั่งยืนมากขึ้น ยกระดับสุขอนามัยและสุขภาพของผู้เข้าพัก รวมถึงการทำงานของพนักงานในทุกแผนก ส่งเสริมการเป็นองค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ทำไม ? โรงแรมถึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เป็น Green Hotel  ด้วย 3 เหตุผลหลัก ที่ทำไมควรต้องทำ เป็นการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน  โรงแรมถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้า การใช้น้ำ ระบบปรับอากาศ การซักผ้า หรือของใช้สิ้นเปลืองต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสร้างขยะพลาสติกในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น การใช้น้ำในปริมาณสูง หรือการรบกวนระบบนิเวศของพื้นที่รอบข้าง การปรับเปลี่ยนมาเป็น Green Hotel จึงเป็นการ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างตรงจุด เช่น ลดการใช้พลังงานด้วยหลอดไฟ LED และระบบอัตโนมัติ ส่งเสริมผู้เข้าพักให้เกิดการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า การใช้น้ำอย่างประหยัดและมีระบบหมุนเวียนน้ำเสียที่สามารถนำน้ำใช้ประโยชน์อื่น ๆ ต่อได้ ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เช่น ใช้ขวดแก้วแทนขวดพลาสติก สร้างแนวทางจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การส่งเสริมการใช้ซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง การจัดการขยะอย่างเป็นระบบ สนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ลดการพึ่งพาระบบโลจิสติกส์ และยังเป็นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์สินค้า วัตถุดิบจากชุมชน ที่ช่วยสร้างรายได้ในแง่ของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การดำเนินงานแบบรักษ์โลกยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อชุมชน โดยการมีส่วนร่วมกับชาวบ้าน สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น และไม่ก่อผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวในระยะยาว ความยั่งยืนคือผลกำไรที่แท้จริงของการทำธุรกิจ การดำเนินธุรกิจแบบ […]

ไม่รู้ไม่ได้แล้ว ! ก่อนจดทะเบียนการค้าต้องรู้เรื่องนี้ เอกสารต้องเตรียมอะไรบ้าง ?

ทำไมต้องมีการจดทะเบียนการค้า ถ้าไม่จดทำได้หรือไม่ ?  การจดทะเบียนการค้า คือ การที่ผู้ประกอบการธุรกิจหรือผู้มีรายได้จากการขายสินค้า/บริการ แจ้งชื่อและรายละเอียดกิจการของตนต่อสำนักงานพาณิชย์ หรือเทศบาลท้องถิ่น เพื่อให้ได้รับ “ทะเบียนพาณิชย์” ซึ่งเป็นเอกสารแสดงว่าบุคคลนั้นประกอบกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ใครมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนการค้า ตาม พ.ร.บ.ทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ. 2499 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ผู้ที่ประกอบกิจการค้าหรือบริการเพื่อหารายได้ ต้องทำการจดทะเบียนการค้าภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันเริ่มกิจการ โดยผู้ที่มีหน้าที่ในการจดทะเบียนพาณิชย์ตามที่กรมธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ได้แบ่งไว้มีทั้งหมด 5 ประเภท ดังนี้ บุคคลธรรมดาคนเดียวหรือกิจการที่มีเจ้าของคนเดียว บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด นิติบุคคลต่างประเทศที่มาตั้งสำนักงานสาขาภายในประเทศไทย 1. กิจการที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ธรรมดา (บุคคลธรรมดา) กลุ่มนี้คือ บุคคลทั่วไปที่ประกอบธุรกิจ ในนามตนเอง โดยไม่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน) ตัวอย่างกิจการที่เข้าข่าย ร้านขายของชำ ร้านค้าปลีก-ส่ง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ คาเฟ่ ร้านนวดแผนไทย ร้านเสริมสวย ร้านซักอบรีด ธุรกิจขายของออนไลน์ (Shopee, Facebook, IG, Tiktok ฯลฯ) รับทำเว็บไซต์ ออกแบบกราฟิก รับพิมพ์งาน ฟรีแลนซ์ที่มีรายได้ประจำหรือประกอบธุรกิจชัดเจน หมายเหตุ : กรณีขายของออนไลน์ หากเป็นการค้าต่อเนื่อง มีรายได้ประจำ และโปรโมทธุรกิจ ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ธรรมดาตามกฎหมาย 2. กิจการที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์นิติบุคคล กลุ่มนี้คือกิจการที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว และต้องยื่นขอจดทะเบียนพาณิชย์เพิ่มเติมเพื่อแสดงว่ากิจการมีการดำเนินการจริง ประเภทนิติบุคคลที่ต้องจดทะเบียน บริษัทจำกัด (บจก.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) ข้อดี-ข้อเสียการจด หจก. ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน กิจการร่วมค้า (Joint Venture) บริษัทต่างชาติที่มาจดทะเบียนเป็นสาขาในไทย ประเภทธุรกิจของนิติบุคคลที่ต้องจดทะเบียนการค้า ค้าส่ง ค้าปลีก รับเหมาก่อสร้าง ผลิตสินค้า บริการ เช่น ที่ปรึกษา วิศวกรรม ออกแบบระบบ โรงงานแปรรูปสินค้า อาหาร เสื้อผ้า ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ธุรกิจเทคโนโลยี เช่น Software, App, Platform ฯลฯ กิจการใดบ้างที่ไม่ต้องจดทะเบียนการค้า  กิจการบางประเภท ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนการค้า เนื่องจากลักษณะการดำเนินกิจการ ไม่เข้าข่าย “การค้าเพื่อแสวงหากำไร” แบบธุรกิจทั่วไป หรืออยู่ภายใต้กฎหมายเฉพาะด้านอื่น ๆ […]

“แจกฤกษ์ดี ปี 68 “ ครึ่งปีหลัง สายมูต้องอ่าน เปิดบริษัทจำกัดให้เฮงยิ่งกว่าเดิม !

ฤกษ์เปิดบริษัทจำกัด ปี 68 เดือนไหนดี ? รวมวันมงคลเสริมดวงธุรกิจรุ่งตลอดปี ความเชื่อเรื่อง “ฤกษ์มงคล” หรือ “เวลาดี” ในการเปิดบริษัทหรือกิจการร้านค้า เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ และคนรุ่นก่อนที่มักกล่าวว่า “เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า “วัน-เวลา” ในการเริ่มกิจกรรมสำคัญ เช่น การเปิดบริษัทหรือกิจการ ที่มีความหมายมากกว่าการเลือกวันตามปฏิทินธรรมดาก่อนเปิดกิจการ ร้านค้า หรือทำธุรกิจ รวมถึงการตั้งชื่อมงคล อย่างที่เราจะเห็นชื่อบริษัทที่นิยมตั้ง โดยมีความเชื่อว่าจะส่งเสริมให้กิจการนั้นรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นพึ่งพาทางจิตใจ สร้างขวัญและกำลังใจ  เสริมสร้างพลังบวกที่ดี และมีผลทาง “จิตวิทยา” อย่างชัดเจนให้กับเจ้าของธุรกิจ แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องของความเชื่อ แต่หากมองในเชิงจิตวิทยาและวัฒนธรรม การเลือกฤกษ์มงคลไม่ได้หมายถึงความงมงาย หากแต่เป็นการวางกรอบเวลาเพื่อเริ่มต้นอย่างมีระบบ มีแบบแผน และช่วยยึดโยงการตัดสินใจเข้ากับสภาพแวดล้อมและความเชื่อของผู้ก่อตั้ง ฤกษ์เปิดบริษัทจำกัดคืออะไร ? “ฤกษ์เปิดบริษัท” หมายถึง วันและเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มต้นกิจกรรมทางธุรกิจ เช่น การจดทะเบียนบริษัท การเซ็นเอกสารสำคัญ เปิดป้ายบริษัท หรือเริ่มขายของวันแรก โดยมักเลือกให้ตรงกับวันมงคลตามปฏิทินจันทรคติไทย จีน หรือหลักโหราศาสตร์ที่เจ้าของกิจการนับถือ แม้ไม่มีข้อกฎหมายว่าต้องมีฤกษ์เปิดบริษัท แต่ในทางปฏิบัติแล้ว หลายบริษัทเลือกใช้ฤกษ์ดีเพื่อเริ่มต้นอย่างมีพลัง และเชื่อว่าจะช่วยหนุนโชคลาภ ความสำเร็จ และลดอุปสรรคในอนาคตได้  พิกัดวันฤกษ์ดีครึ่งปีหลัง ปี 2568 ตามปฏิทินโหราศาสตร์ไทย ข้อมูลจากสถาบันโหราศาสตร์ไทยและเว็บไซต์ปฏิทินมงคลหลายแห่ง เช่น payakorn.com และ sanawee.com ได้คัดเลือกวันดีที่เหมาะสมกับการเปิดกิจการในปี 2568 (ปีมะโรงธาตุดิน) โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปี ได้แก่ ฤกษ์ดีรายเดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2568 เดือนกรกฎาคม 2568 วันที่ 5 กรกฎาคม (เทวีฤกษ์) วันที่ 15 กรกฎาคม (มหัทธโนฤกษ์) วันที่ 26 กรกฎาคม (ราชาโชค) เดือนสิงหาคม 2568 วันที่ 2 สิงหาคม (เทวีฤกษ์) วันที่ 11 สิงหาคม (มหัทธโนฤกษ์) วันที่ 24 สิงหาคม (ราชาโชค) เดือนกันยายน 2568 วันที่ 6 […]

เข้าใจคาร์บอนเครดิต ประเทศไทยใน 5 นาที! กลไกสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง จึงจำเป็นและเป็นเรื่องที่สำคัญในการจัดการปัญหานี้โดยเร่งด่วน ซึ่ง “คาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit) ถือเป็นอีกเครื่องมือที่สำคัญ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในประเทศไทย ปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะเป็นช่วงเร่งเดินหน้านโยบายด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และ เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2608 ซึ่งเราจะเห็นได้จากนโยบายต่าง ๆ ทางด้านกฏหมายที่เริ่มจะมีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น ร่าง พ.ร.บ. ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รวมถึงกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมมลพิษต่าง ๆ ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น0 คาร์บอนเครดิต คืออะไร ? “คาร์บอนเครดิต” คือ การนำกลไกของตลาดมาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  ซึ่งถ้าหากองค์กรใดที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ต่ำกว่า หรือน้อยกว่าปริมาณที่ปล่อยปกติ หรือมีการดำเนินการที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้นจากการดูดซับปกติ ปริมาณที่ปล่อยได้มีการลดลงหรือดูดซับได้เพิ่มมากขึ้นนี้ จะเรียกว่า คาร์บอนเครดิต โดยหน่วยที่ใช้วัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้ 1 หน่วย เท่ากับ 1 ตันของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) หรือเทียบเท่า เช่น มีโครงการปลูกป่า 1 โครงการ หากสามารถดูดซับก๊าซ CO₂ ได้ 100 ตัน โครงการนั้นก็จะมีสิทธิได้รับคาร์บอนเครดิต 100 หน่วย ซึ่งสามารถนำไป “ขาย” ให้กิจการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินเกณฑ์ เพื่อทำการชดเชยในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรนั่นเอง รูปแบบและประเภทของคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจว่าคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยอาจจำแนกอย่างกว้างได้เป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ คาร์บอนเครดิตที่ได้รับจากการทำโครงการที่มีการลดหรือเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Reduction/Avoidance Projects) เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือแหล่งพลังงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลงกว่ากรณีปกติ คาร์บอนเครดิตที่ได้รับจากการทำโครงการที่ดูดกลับก๊าซเรือนกระจกมากักเก็บไว้ (Carbon Removal Projects) เช่น การปลูก ดูแลรักษา หรือฟื้นฟูป่าไม้, BioEnergy with Carbon Capture and Storage (BECCS), Direct Air Carbon Capture (DAC), Direct Ocean […]

จัดงานอีเว้นท์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ปรึกษา Carbon Neutral Event

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก แนวคิดด้านความยั่งยืน (Sustainability) ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมถึง “การจัดงาน” ไม่ว่าจะเป็นงานสัมมนา งานประชุม งานสานสัมพันธ์คู่ค้าระหว่างองค์กร หรืองานอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งหลายองค์กรเริ่มให้ความสำคัญกับการจัดงานที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับก็คือ Carbon Neutral Event ที่เป็นการจัดงานเพื่อคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในแต่ละส่วนของการดำเนินงาน ในขณะที่งานอีเว้นท์เองก็ยังสามารถดำเนินการได้ตามปกติ บทความนี้จะพาทุกท่านทำความเข้าใจว่า Carbon Neutral Event คืออะไร มีขั้นตอนการจัดงานอย่างไร และควรดำเนินการชดเชยคาร์บอนอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์ขององค์กร จัดงานอีเว้นท์ยุคใหม่ ไม่ใช่จัดแบบไหนก็ได้! แต่ต้องรักษ์โลกด้วย Carbon Neutral Event อย่างที่ทราบกันดีว่าในสภาวะปัจจุบันโลกมีผลกระทบที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยด่วน หนึ่งในนั้นคือปัญหาด้านสภาวะอากาศที่มีปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้นทั้งการใช้พลังงาน การเกษตรกรรม การพัฒนาและการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง หารใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน รวมถึงการจัดงานอีเว้นท์ก็เช่นกัน ที่ต้องมีการใช้พลังงานไฟฟ้า การค้างคืนของผู้จัดงาน ผู้ร่วมงาน การเดินทางมาร่วมงาน การใช้พลังงานในการประกอบอาหาร การกำจัดของเสีย อาหารเหลือทิ้งในการจัดงาน สิ่งต่างๆเหล่านี้ ล่วนเป็นปัจจัยและสาเหตุที่สำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Carbon Neutral Event  คืออะไร ?  คือ การจัดงานที่มีการวัดปริมาณการปล่อยคาร์บอน ปรับลด และชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมทั้งหมดในงาน ที่ไม่ใช่เพียงการลดปริมาณขยะหรือใช้สิ่งของที่สามารถนำไปรีไซเคิล ใช้ประโยชน์ต่อได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอนจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเดินทางของผู้ร่วมงาน การใช้พลังงาน สื่อโฆษณา อาหาร และการบริหารจัดการสถานที่ ซึ่งหลังจากที่มีการจัดงานแล้ว จะต้องมีการทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอน โดยการจัดหาคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในไทยมาชดเชยกับก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ของการจัดงาน เพื่อทำให้ก๊าซเรือนกระจกสุทธิลดลงบางส่วน เรียกว่า Carbon  Offset หรือ ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เรียกว่า  Carbon Neutral ขั้นตอนการจัดงาน แนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษา Carbon Neutral Event  การจัดงานให้เป็น Carbon Neutral ต้องดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน โดยสามารถสรุปได้เป็น 4 ขั้นหลัก ดังนี้ 1. ประเมินและวัดการปล่อยคาร์บอน (Carbon Footprint Assessment) เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ โดยผู้จัดงานต้องรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมงานและระยะทางการเดินทาง ประเภทการเดินทาง (รถยนต์ส่วนตัว, เครื่องบิน, รถสาธารณะ) การใช้พลังงานไฟฟ้าในสถานที่จัดงาน การจัดเลี้ยง อาหารและเครื่องดื่ม […]

“ถามมา-ตอบไป” จำเป็นจริงหรือ? ที่ธุรกิจต้องปรึกษาเรื่องภาษีนิติบุคคลกับผู้เชี่ยวชาญ

ปรึกษาเรื่องภาษี กับผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและวางแผนภาษีนิติบุคคล ภาษีนิติบุคคล (Corporate Income Tax หรือ CIT) เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากบริษัทหรือองค์กรที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีการประกอบกิจการและมีรายได้เกิดขึ้น ซึ่งภาษีนิติบุคคลมีลักษณะสำคัญคือ เป็นภาษีที่เก็บจากกำไรสุทธิของบริษัท คำนวณจากรายได้หักด้วยค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการ โดยอัตราภาษีปกติอยู่ที่ 20% ของกำไรสุทธิ โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายบางส่วนนำมาลดหย่อนภาษีส่วนนี้ได้เช่นกัน  กลุ่มนิติบุคคลใดบ้างที่ต้องเสียภาษี  1.บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน นิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฏหมายไทย 2.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน ที่จัดขึ้นตามกฏหมายต่างประเทศ ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย หรือทำธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไทยไม่ว่าจะรับรายได้จากไทย กลุ่มที่โอนกำไรออกนอกประเทศ ซึ่งหากเกี่ยวข้องจากรายได้ที่เกิดขึ้นก็ต้องเสียภาษีนิติบุคคลเช่นกัน  3.กิจการร่วมค้า (Joint Venture)  4.กิจการที่ดำเนินการเป็นทางการค้า แสวงหากำไร  5.มูลนิธิหรือสมาคมไม่แสวงหากำไรที่ประกอบกิจการแล้วมีรายได้เกิดขึ้น 6.นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดอนุมัติรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้เป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร กลุ่มนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรสาธารณกุศล และนิติบุคคลที่ได้รับการส่งเสริมภาษีจาก BOI หรือข้อตกลงพิเศษอื่นๆ ตามที่กฏหมายระบุไว้ การเก็บภาษีนิติบุคคล รวมถึงสิทธิประโยชน์จากทางภาษี สำหรับการเก็บภาษีนิติบุคคลจะมีเงื่อนไขเพื่อให้ผู้ประกอบการชำระภาษีตามกำไรสุทธิที่ต่างกัน สามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้มากขึ้น ช่วง “ถามมา – ตอบไป”  ทำไมทำธุรกิจต้องปรึกษาเรื่องภาษีนิติบุคคล ! รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาษีนิติบุคคล Q : ภาษีนิติบุคคลคืออะไร ? แตกต่างจากภาษีบุคคลธรรมดายังไง ? A : ภาษีนิติบุคคล (Corporate Income Tax) คือภาษีที่เรียกเก็บจากรายได้ของนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วน หรือองค์กรต่าง ๆ ที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในรอบปีภาษี ซึ่งจะต่างจากบุคคลธรรมดาที่จะต้องเสียภาษีตามช่วงรายได้ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี โดยภาษีนิติบุคคลมีอัตราคงที่ และมีข้อกำหนดเฉพาะเรื่องการหักค่าใช้จ่าย การวางแผนภาษี และการยื่นแบบแสดงรายการ Q : ถ้าเปิดบริษัทแล้ว แต่ยังไม่มีกำไร จะต้องเสียภาษีไหม ? A : ถึงแม้บริษัทจะยังไม่มีกำไร หรือยังไม่เริ่มดำเนินการจริง แต่หากจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว ก็ยังคงมีหน้าที่ยื่นแบบภาษีประจำปี (ภ.ง.ด.50) และบางกรณีต้องยื่นแบบครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) ด้วย เพราะถ้าหากไม่ยื่นตามกำหนด จะมีค่าปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย ดังนั้นควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อบริหารความเสี่ยง โดยการวางแผนภาษี Q : SME ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีหรือไม่ ? A : […]

อัปเดตบัตรสีชมพู หรือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย หากหมดอายุต้องต่อแบบ MOU ตามมติ ครม. แล้ว

บัตรสีชมพู คือบัตรอะไร ? ทำไมถึงเรียกบัตรสีชมพู “บัตรสีชมพู” บัตรชนิดนี้ เป็นบัตรที่มีลักษณะสีชมพู จึงนิยมเรียกว่า “บัตรสีชมพู” หรือชื่อทางการว่า บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (Non-Thai National ID Card) เป็นเอกสารที่ทางราชการไทยออกให้แก่ แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามระบบ MOU หรือการขึ้นทะเบียนตามนโยบายรัฐ เป็นการชั่วคราว โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการออกให้ หลังผ่านการขึ้นทะเบียนและผ่านการพิสูจน์สัญชาติตามกระบวนการของมติคณะรัฐมนตรีที่มีกรมการจัดหางานเป็นผู้เสนอแล้ว  โดยทั่วไป บัตรสีชมพูจะใช้ระบุ ตัวตนและสถานะทางกฎหมาย ของแรงงานที่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย และมักใช้ควบคู่กับ ใบอนุญาตทำงาน (Work Permit)  เอกสารหลัก ๆ จะมีอยู่ 3 อย่าง คือ หนังสือเดินทางที่ออกโดยประเทศต้นทางหรือหนังสือรับรองบุคคล ใบอนุญาตทำงานที่ออกโดยกรมการจัดหางานของประเทศไทย บัตรชมพูที่ดำเนินการออกให้โดยหน่วยงานของ กระทรวงมหาดไทย บัตรสีชมพู สามารถใช้ทำงานได้กี่ปีถึงจะหมดอายุ ? สามารถใช้ทำงานได้ตาม ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่มี อายุไม่เกิน 2 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุญาต โดยรายละเอียดมีดังนี้  ปกติจะมีอายุ 1–2 ปี ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลในช่วงเวลานั้น และเงื่อนไขที่กำหนดในการจดทะเบียนแรงงาน บัตรสีชมพูต้อง ใช้ร่วมกับใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ซึ่งจะระบุอาชีพ สถานที่ทำงาน และระยะเวลาการอนุญาต เมื่อบัตรสีชมพูหรือใบอนุญาตทำงานใกล้หมดอายุ แรงงานจะต้อง ยื่นเรื่องขอต่ออายุ กับกรมการจัดหางานภายในระยะเวลาที่กำหนด สำหรับระยะเวลาให้แรงงานต่างด้าวที่ถือบัตรสีชมพูสามารถทำงานได้ถึง วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 หากหมดอายุต้องยื่นขออนุญาตตามรอบการต่อทะเบียนตามแบบ MOU โดยนายจ้างยื่นบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานคนต่างด้าวต่อกรมการจัดหางาน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ณ สถานที่ที่กรมการจัดหางานกำหนด ประกาศกระทรวงมหาดไทย คลิกอ่าน !  เอกสารหลักที่ต้องเตรียมสำหรับการยื่นต่ออายุ สำหรับนายจ้าง สามารถเซ็นสำเนาจริงพร้อมตราบริษัท หนังสือรับรองบริษัท (ไม่เกิน 3 เดือน) บัตรประชาชน + ทะเบียนบ้าน ทะเบียนพาณิชย์ (หากมี) สำหรับแรงงานต่างด้าว หนังสือเดินทางตัวจริง + ใบอนุญาตทำงานเดิม รูปถ่ายขนาดต่าง ๆ (e.g., 1.5 นิ้ว […]

1 2 3 4 5 6 28