FDI

แนะนำ “องค์กรต้องประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์” Carbon Footprint คืออะไร ? โอกาสสำคัญของธุรกิจในปี 2025

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ Carbon Footprint คืออะไร สำคัญจริงหรือ? มีผลต่อการระดมทุนและนักลงทุนยุคใหม่อย่างไรบ้าง ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจทางธุรกิจ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) หรือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน รวมถึงการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม ที่ในทุกกิจกรรมล้วนแล้วแต่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสิ้น เจาะลึกกับที่ปรึกษาการจัดการก๊าซเรือนกระจกอ่านต่อ..  ในบทความนี้เราจะจำกัดเนื้อหาเฉพาะของในแง่มุมองค์กรธุรกิจ  ที่การดำเนินงานนั้นได้กลายเป็นตัวชี้วัด มีบทบาทที่สำคัญต่อการระดมทุนและการตัดสินใจของนักลงทุนยุคใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สังคมมุ่งเน้นในเรื่องของความยั่งยืน ที่ไม่ใช่เพียงแต่ในมิติของสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงมิติด้านสังคม ธรรมาภิบาล และการคำนึงถึงผลกระทบในอนาคตที่ต้องการให้การดำเนินชีวิตของผู้คนยังคงเป็นไปได้ด้วยความยั่งยืนในทุกมิติไว้อย่างน่าสนใจ  นักลงทุนยุคใหม่ โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันและกองทุน ESG (Environmental, Social, and Governance) ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าองค์กรมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและเตรียมพร้อมต่อความเสี่ยงในอนาคต ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้อย่างดี ESG Integration : การลงทุนตามหลักเกณฑ์ ESG ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยนักลงทุนใช้คาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นเกณฑ์ในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสของธุรกิจในปัจจุบันและแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต  Green Finance : ธุรกิจที่มีการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนสีเขียว (Green Bond) หรือสินเชื่อที่มีเงื่อนไขสอดคล้องกับความยั่งยืนได้ง่ายมากขึ้น Carbon Footprint กับประเด็นด้านกฏหมายและข้อบังคับในหลายประเทศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนำไปสู่กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทย เช่น มาตราการ CBAM ในสหภาพยุโรป , ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และมาตรการอื่น ๆ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันและต้นทุนของธุรกิจ คู่ค้า พันธมิตร ผู้มีส่วนได้เสียกับธุรกิจในภาพรวม การจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่มีประสิทธิภาพจึงช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ ซึ่งองค์กรต่างต้องปรับตัวในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจัดการลดความเสี่ยงในการปฏิบัติตามข้อกำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกฏหมาย หากองค์กรธุรกิจไม่ปฏิบัติตามในประเด็นทางด้านกฏหมายจะมีความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็น  ความเสี่ยงด้านกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบมาตราการ : ธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมได้ทัน อาจเผชิญกับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นและค่าปรับต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน ต้นทุนโดยตรงและหากมีการส่งออก คู่ค้าทางธุรกิจ ที่ต้องการข้อมูลการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากองค์กรไม่มีการทำในส่วนนี้ก็จะเกิดผลกระทบต่อธุรกิจในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญอย่างแน่นอน  ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง ความเชื่อมั่นในการลงทุน และภาพลักษณ์ขององค์กรต่อภายนอก  ผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือจากผู้มีส่วนได้เสียในธุรกิจ รวมถึงคู่ค้าที่ต้องการทราบถึงแนวทางการปรับเปลี่ยนสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความยั่งยืนในการดำเนินงาน และผู้บริโภคในยุคที่ค่อนข้างจะให้ความสำคัญในเรื่องของความยั่งยืนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากธุรกิจไม่มีการเคลื่อนไหวหรือแผนรับมือในการปรับเปลี่ยนสู่การมีส่วนร่วมลดโลกร้อน จะส่งกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรและลดความน่าสนใจในสายตานักลงทุนได้ในทันที จัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กร (CFO) คลิก !!  จัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับผลิตภัณฑ์ (CFP)  คลิก !!  โอกาสที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นในการระดมทุนและสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจ การมีแผนการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่ชัดเจนและโปร่งใสในองค์กร ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสในการระดมทุน โดยเฉพาะจากนักลงทุนที่เน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีความยั่งยืน […]

สินเชื่อสีเขียว นวัตกรรมสินเชื่อ เพื่อผู้ประกอบการและมุ่งเน้นส่งเสริมความยั่งยืน

นวัตกรรมสินเชื่อสีเขียว เครื่องมือขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนี้ เชื่อว่าทุกคนต่างรู้ได้ถึงวิกฤติสภาพภูมิอากาศ และวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างเรื่องใกล้ตัวไม่ว่าจะฤดูกาลที่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงไป หน้าฝนก็ฝนตกหนักจนน้ำท่วม  หน้าร้อนก็ร้อนหนักจนส่งผลกระทบจนแห้งแล้ง ด้วยปัจจัยด้านต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ซึ่งทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนส่งผลกระทบ สร้างความเสียหายหนักต่อการดำเนินชีวิตและด้านอื่น ๆ เรื่องภาวะโลกเดือดเป็นเรื่องที่ถ้าหากไม่ได้รับการแก้ไขโดยด่วนนั้น ในอนาคตอันใกล้เราทุกคนอาจจะได้สัมผัสกับปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่หนักขึ้นอย่างแน่นอน  ในปัจจุบันนโยบายของภาครัฐในหลายประเทศต่างร่วมมือกันในการส่งเสริม สนับสนุนโครงการลดโลกร้อน มุ่งเน้นแก้ไขเพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ที่เกิดจากการดำเนินงานของมนุษย์ในชีวิตประจำวันให้ลดน้อยลง จากการขอความร่วมมือ เปลี่ยนผ่านสู่การเริ่มบังคับใช้ และเริ่มเข้มข้นขึ้นในทุก ๆ ปี ด้วยเหตุนี้ทำให้สถาบันการเงินได้ออกผลิตภัณฑ์ในหลายรูปแบบขึ้นมา หนึ่งในนั้นคือ สินเชื่อสีเขียว (Green Loan) เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานให้กับองค์กร บริษัท ที่ต้องการลงทุน หรือนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมประหยัดพลังงาน ตัวอย่างเช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) การจัดการน้ำเสียอย่างยั่งยืน (Sustainable Water Management) และการปรับปรุงการก่อสร้างอาคารสีเขียว (Green Building) และการปรับปรุงกระบวนการทำงานของบริษัทให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าการกู้ยืมทั่วไป เพื่อเชิญชวนให้บริษัท องค์กร นักลงทุน เกิดการพัฒนา ดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ เหล่านี้มากขึ้น  ไม่เพียงแต่การลงทุนในโครงการใหญ่เพียงเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมในระดับบริษัทขนาดย่อม รวมถึงภาคประชาชน ทั้งเรื่องโครงการอสังหาริมทรัพย์ อย่างบ้านรักษ์โลก คอนโดประหยัดพลังงาน รถไฟฟ้า รวมถึงการปรับปรุงโครงการที่มีอยู่ให้ดำเนินงานได้มีอย่างประสิทธิภาพมากขึ้น  ความน่าสนใจของสินเชื่อธุรกิจเพื่อลดคาร์บอนของสถาบันการเงินในไทย สถาบันทางการเงินในไทยต่างมุ่งเน้นส่งเสริมสินเชื่อธุรกิจเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน  สำหรับแต่ละอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจโดยเฉพาะ มุ่งเน้นส่งเสริมให้ธุรกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่การปล่อยคาร์บอนให้น้อยลง ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลัก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริการให้สามารถจัดการได้อย่างคุ้มค่าที่สุดต่อรอบการผลิต ลดการใช้พลังงานให้น้อยลง โดยเน้นปรับเปลี่ยนไปสู่การใช้พลังงานสะอาด เกิดการบริหารจัดการต้นทุนอย่างคุ้มค่า เป็นการพัฒนาธุรกิจให้พร้อมรับมือกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีการประกาศใช้ เช่น ภาษีคาร์บอน พรบ.โลกร้อน หรืออย่างในสหภาพยุโรป เช่น มาตรการ CBAM  ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายก็จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานที่สูง เช่น  ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ฮาร์ดแวร์ (Automotive and Parts) ธุรกิจแพ็คเกจจิงและพลาสติก (Packaging and Plastics) ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) ธุรกิจโรงแรมและเฮลแคร์  (Hotels and Health cares) โดยมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ อย่างธนาคารกสิกรไทย ได้ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจว่า MLR-1.25% (ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน […]

Softpower Visa ประเภทวีซ่าใหม่ในไทย อยู่ไทยได้นาน 5 ปี!

วีซ่า DTV ประเภทวีซ่าใหม่ดึงชาวต่างชาติพำนักทำงานและท่องเที่ยวในไทยได้อย่างถูกกฏหมาย หลังจากช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้วิถีชีวิตผู้คนโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานประจำได้เกิดการปรับรูปแบบทำงานจาก On-site ปรับรูปแบบมาเป็น  Digital Nomads และ Remote Workers เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังตอบโจทย์ไลพ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันนี้ โดยวีซ่า  DTV หรือที่เรียกว่า Soft Power Visa เป็นประเภทวีซ่าใหม่ที่ประเทศไทยนำเสนอ เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่ต้องการพำนักระยะยาวในประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการสนับสนุนการทำงานทางไกล (Workcation) และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Soft Power ของไทย เช่น การฝึกมวยไทย การเรียนทำอาหารไทย หรือการรักษาพยาบาล เพื่อดึงชาวต่างชาติที่สนใจ หลงไหลในวัฒนธรรมไทย เข้ามาพำนักในประเทศไทยเป็นการชั่วคราวได้  วีซ่า DTV หรือ Destination Thailand Visa คืออะไร สำหรับ Visa DTV : Destination Thailand Visa  หรือที่เราเรียกกันว่า Soft Power Visa ที่พิจารณาออกให้สำหรับชาวต่างชาติที่ทำงานแบบระยะไกล (Remote Work) วีซ่านี้ออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ที่สามารถทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตจากที่ใดก็ได้ในโลก เพียงหลงไหลในความเป็นไทย ต้องการมาใช้ชีวิตในประเทศไทย วีซา DTV จะช่วยให้ชาวต่างชาติสามารถพำนักอยู่ในประเทศไทยได้ในระยะเวลาที่ยาวนานแบบถูกกฏหมายได้ ต้องรู้ข้อกำหนดอะไรบ้าง สำหรับผู้ถือวีซ่า DTV  1.ต้องต่ออายุวีซ่า : หากผู้ถือวีซ่าต้องการพำนักในประเทศไทยต่อ เกินกว่าระยะเวลาที่กำหนด สามารถยื่นขอต่ออายุวีซ่า DTV ได้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในประเทศไทย 2.ต้องรายงานตัวทุก 90 วัน : ชาวต่างชาติต้องรายงานตัวทุก 90 วัน ต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในทุก 90 วัน โดยต้องแจ้งสถานที่พำนักในประเทศไทย  3.การขอใบอนุญาตกลับเข้าประเทศ (Re-entry Permit) : หากผู้ถือวีซ่า DTV มีแผนที่จะเดินทางออกนอกประเทศไทยชั่วคราว ควรจะยื่นขอใบอนุญาตกลับเข้าประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้วีซ่าถูกยกเลิกเมื่อกลับเข้ามาอีกครั้ง  ข้อกำหนดและเงื่อนไขของวีซ่า DVT ผู้ถือวีซ่า DTV สามารถทำงานทางไกลจากประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งแตกต่างจากวีซ่าท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่อนุญาตให้ทำงาน วีซ่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตในประเทศไทยในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทย การสมัครวีซ่า DTV ควรเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและตรวจสอบข้อกำหนดจากสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในประเทศของตน เอกสารที่จำเป็นสำหรับการยื่นขอวีซ่าและขั้นตอน คุณสมบัติและเอกสารที่จำเป็นสำหรับการสมัครวีซ่า […]

มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ.ฯ มอบโล่เกียรติคุณ ผู้บริหารเอฟ ดี ไอ “กว่า 20 ปี แห่งการให้” ส่งต่อรอยยิ้มที่สดใส ให้เด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส

ส่งต่อโอกาสที่ดี “มากกว่า 20 ปี แห่งการให้” เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา คุณจิราภรณ์  อินทะเสย์ ผู้แทนจากมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ.  ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ให้การสนับสนุน ดูแลแก่เด็กและเยาวชนไทยผู้ด้วยโอกาส เข้ามอบโล่เกียรติคุณเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความขอบคุณในการสนับสนุน เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปี มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชนฯ  โดยมอบโล่เกียรติคุณนี้ให้กับ คุณพัชราภรณ์ เวชวิทยาขลัง ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท เอฟ ดี ไอ ได้ให้การสนับสนุนอุปการะเด็กด้อยโอกาสมาเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 20 ปี ทำให้หลายชีวิตได้มีอนาคตที่ดีขึ้น ปัจจุบันอุปการะเด็กกว่า 14 คน  เสียงจากผู้ให้ สู่การสร้างโอกาสใหม่ในชีวิตเยาวชนในสังคมไทย คุณพัชราภรณ์ เวชวิทยาขลัง กล่าวว่า “ การศึกษาที่มีคุณภาพและการสนับสนุนจากชุมชน คือรากฐานสำคัญสู่ความสำเร็จของเด็กด้อยโอกาส”   การร่วมมือกับมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. ฯ เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาสังคม โดยเฉพาะการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสให้เข้าถึงการศึกษา พัฒนาคุณภาพชีวิต และเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต การอุปการะเด็กมีบทบาทสำคัญในหลายมิติ ทั้งด้านการศึกษา ด้านจิตใจ และสุขภาพจิตที่ดี รวมถึงการพัฒนาทักษะชีวิตและอาชีพ เช่น การแก้ปัญหา การสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการเผชิญโลกที่เปลี่ยนแปลง ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เด็กด้อยโอกาสเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และมีส่วนร่วมสร้างอนาคตที่ดีให้กับสังคมค่ะ  ตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมาของคุณพัชราภรณ์ เวชวิทยาขลัง ประธานบริหารกลุ่มบริษัท เอฟ ดี ไอ  ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม นอกจากจะให้การสนับสนุน ร่วมสร้างระบบการดูแล และติดตามผลที่เอื้อต่อการพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) โดยเฉพาะในมิติ “สังคม” และ “การเติบโตอย่างครอบคลุม”ในหลายมิติที่น่าสนใจ ที่ไม่ใช่แค่การช่วยเหลือในระยะสั้น แต่เป็นการส่งต่อโอกาสที่มีคุณค่าในระยะยาว โดยเด็กและเยาวชนหลายคนที่ได้รับการสนับสนุนเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง เป็นพลเมืองคุณภาพ สามารถดูแลตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นได้ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมความยั่งยืนในระดับรากฐานของสังคม การได้รับโล่เกียรติคุณครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การยกย่องความดีเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ผสานความรับผิดชอบต่อสังคมเข้ากับเป้าหมายองค์กร เพื่อให้การเติบโตของบริษัทพัฒนาไปพร้อมกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ที่มุ่งเน้นเรื่องของ “ความยั่งยืน” เป็นแกนกลางทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และมนุษยธรรม อีกด้วย  ช่องทางติดต่อ  Facebook : FDI Group – Business Consulting Line : […]

LTR visa หรือ Long – Term Resident วีซ่าที่ช่วยส่งเสริมการลงทุนและผลักดันทางเศรษฐกิจในไทย

LTR visa คืออะไร ? ชาวต่างชาติที่สามารถวีซ่า LTR ได้นั้นต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ประเทศไทยมีวีซ่าประเภท Long – Term Resident หรือ LTR ที่มอบสิทธิประโยชน์ครอบคลุมทั้งด้านภาษี และด้านอื่น ๆ เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงในการเข้ามาลงทุน และการพำนักในระยะยาว เพื่อส่งเสริมให้ไทยเติบโตเพิ่มขึ้นจากการเข้ามาพำนักของกลุ่มชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง ทั้งการดึงดูดผู้พำนักต่างชาติกลุ่มใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ผู้มีทักษะสูงและมีความเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการกระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุน เป็นต้น  LTR visa จึงมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจในภาคเอกชนได้โดยการลดกระบวนการ และทำให้การอนุญาตทำงานของคนต่างชาติทำได้โดยง่ายมากขึ้น โครงการวีซ่าพำนักระยะยาว (Long-Term Resident Visa) มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายหลักคือใคร เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงจากทั่วโลกให้เข้ามาพำนักและ/หรือทำงานในประเทศไทย โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy Global Citizens)  ชาวต่างชาติที่ถือครองทรัพย์สินมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ 2.กลุ่มผู้เกษียณอายุที่มีรายได้สูง (Wealthy Pensioners)  เป็นกลุ่มผู้เกษียณต่างชาติที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปที่รับเงินบำนาญหรือมีรายได้ที่มั่นคง 3.กลุ่มผู้ต้องการทำงานจากประเทศไทย (Work-from-Thailand Professionals) เป็นกลุ่มที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับบริษัทในต่างประเทศที่ผลประกอบการเป็นที่ยอมรับ 4.กลุ่มผู้มีทักษะเฉพาะทาง (Highly-Skilled Professionals) ผู้ที่มีทักษะสูงหรือมีความเชี่ยวชาญพิเศษที่ปฏิบัติงานให้กับบริษัท หรือสถาบันอุดมศึกษา สถาบันวิจัย รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐในไทย ทั้งนี้นั้นจะต้องเป็นการทำงานในกิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย  5.คู่สมรสและบุตร ของผู้ถือวีซ่าพำนักระยะยาว คู่สมรสและบุตรอายุไม่เกิน 20 ปี ของผู้ถือ LTR visa (สามารถมีผู้ติดตามได้สูงสุด 4 คน ) สิทธิประโยชน์ของผู้ถือวีซ่าพำนักระยะยาว LTR visa น่าสนใจอย่างไรบ้าง เป็นวีซ่าที่มอบสิทธิประโยชน์หลากหลาย ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบประเทศไทย สามารถอยู่ได้ยาวนาน และลดความยุ่งยากในเรื่องต่าง ๆ เช่น การยกเลิกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ้างงานพนักงา่นคนไทย 4 คน ต่อคนต่างชาติ 1 คน , สิทธิ์ในการใช้ช่องทางพิเศษ (Fast Track) ในการเข้าออกราชอาณาจักรไทย ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น  การลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคล  พำนักอยู่ในประเทศไทยได้เป็นระยะเวลา 10 ปี (5 ปีแรก ต่ออายุได้อีก 5 ปี) ช่องทางพิเศษ […]

ข้อดีของห้างหุ้นส่วน และข้อเสีย ที่คนทำธุรกิจต้องรู้เรื่องนี้ ! ก่อนเลือกจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน

หนึ่งในรูปแบบของกิจการที่ยังคงได้รับความนิยมในผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง ก็คือ “ห้างหุ้นส่วน” ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญ และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยเฉพาะห้างหุ้นส่วนจำกัด ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจร่วมกับหุ้นส่วนที่ไว้ใจกัน และต้องการโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อนเกินไป โดยในบทความนี้เราจะวิเคราะห์โดยเน้นไปที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยจะมีเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างไรนั้น ติดตามได้ในบทความนี้  แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการจัดตั้งบริษัทจำกัดกันมากขึ้น แต่ห้างหุ้นส่วนก็ยังคงมีข้อดีหลายประการที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการบางกลุ่ม และอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในบริบทที่แตกต่างกันไป  ปรึกษาการจดจัดตั้งบริษัท ปรึกษา FDI ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ! การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด หมายถึง นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยบุคคล 2 คนขึ้นไป ร่วมลงทุนเพื่อประกอบธุรกิจ โดยมีทุนจดทะเบียน แยกออกจากเงินทุนส่วนตัว หุ้นส่วนแต่ละคนจะรับผิดชอบต่อหนี้สินของห้างหุ้นส่วนจำกัด ในสัดส่วนตามจำนวนเงินทุนที่ระบุเอาไว้  ห้างหุ้นส่วนจำกัด แบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ตามความรับผิดชอบของหุ้นส่วนผู้ร่วมลงทุน ได้แก่ หุ้นส่วนแบบจำกัดความรับผิดและหุ้นส่วนแบบไม่จำกัดความรับผิด โดยแต่ละแบบจะแตกต่างกันดังนี้  1.หุ้นส่วนจำกัดแบบจำกัดความรับผิด  สำหรับผู้ร่วมทุนจะมีความรับผิดชอบในหนี้สินของธุรกิจเฉพาะในส่วนของจำนวนเงินที่ร่วมลงทุนเท่านั้น ผู้ร่วมทุนแบบจำกัดความรับผิด ไม่จำเป็นต้องร่วมรับผิดชอบหนี้สินที่เกิดขึ้นมากไปกว่าจำนวนเงินที่ได้ลงทุนไป สามารถคำนวณและจำกัดความเสี่ยงได้ การมีหุ้นส่วนจำกัดแบบนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ร่วมทุนในการลงทุนในธุรกิจด้วยเช่นกัน  ตัวอย่างสถานการณ์ สมมติว่า นาย ก และ นาย ข ร่วมกันเปิดร้านกาแฟ นาย ก เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด เป็นผู้บริหารกิจการ ลงทุน 500,000 บาท นาย ข เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด ลงทุน 300,000 บาท ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารต่อมาร้านกาแฟมีหนี้รวม 1,000,000 บาท นาย ข ต้องรับผิดชอบไม่เกิน 300,000 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินลงทุนที่เขาใส่ไว้ ส่วนที่เหลือ นาย ก ต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด แม้อาจต้องใช้ทรัพย์สินส่วนตัวเพื่อชำระหนี้หากกิจการไม่มีสินทรัพย์เพียงพอ 2.หุ้นส่วนแบบไม่จำกัดความรับผิด  หุ้นส่วนแบบไม่จำกัดความรับผิดเป็นรูปแบบของกิจการที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากหุ้นส่วนแต่ละคนต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินของกิจการทั้งหมดแบบไม่จำกัด แม้เกินจากเงินลงทุน เป็นรูปแบบที่เหมาะกับกลุ่มบุคคลที่มีความเชื่อใจกันสูง มีความโปร่งใสในการบริหาร และมุ่งมั่นทำธุรกิจร่วมกัน แต่สำหรับผู้ที่ต้องการจำกัดความเสี่ยงส่วนตัว ควรพิจารณารูปแบบอื่น เช่น บริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งมีข้อจำกัดความรับผิดชัดเจนและปลอดภัยกว่าในแง่กฎหมาย ตัวอย่างสถานการณ์ สมมติว่า นาย ก และ นาย ข ร่วมกันเปิดร้านอาหารในรูปแบบหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด โดยลงทุนคนละ 500,000 บาท รวมเป็นทุน 1,000,000 บาท แต่ต่อมาร้านอาหารมีหนี้สินจากการซื้อวัตถุดิบและค่าเช่าร้านรวมกว่า […]

Foreign Business License หรือใบอนุญาต FBL ต้องทำอย่างไรให้ง่าย ต่างชาติถือหุ้น 100% ได้หรือไม่ ?

Foreign Business License (FBL) หรือ การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ  คืออะไร ? สำหรับ FBL ก็คือ คือใบอนุญาตที่อนุญาตให้บริษัทต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทยในลักษณะที่สอดคล้องกับข้อกำหนดของ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ซึ่งใบนี้เป็นการอนุมัติที่ออกให้แก่บริษัทต่างชาติที่มีการยื่นขออนุญาตและได้รับการอนุมัติจากกระทรวงพาณิชย์  โดยจะมีข้อจำกัดบางประการ ในการประกอบธุรกิจบางประเภทที่อนุญาตให้เฉพาะคนไทยเท่านั้น และห้ามต่างชาติประกอบธุรกิจ ประเภทของธุรกิจที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติฯ  ธุรกิจบางประเภทจะสงวนให้ไว้เฉพาะคนไทย ตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการขอรับในอนุญาตของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542  บัญชีที่ 1 เป็นธุรกิจที่ห้ามมิให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจด้วยเหตุผลพิเศษ บัญชีที่ 2 ธุรกิจที่เกี่ยวกับความปลอดภัยหรือความมั่นคงของประเทศหรือมีผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณีหัตกรรมกรรมพื้นบ้านหรือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคนต่างด้าวจะ ประกอบธุรกิจได้ เมื่อได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีโดยการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี   บัญชีที่ 3 ธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนคนต่างด้าว คนต่างด้าวจะประกอบธุรกิจได้เมื่อได้รับอนุญาตจากอธิบดีโดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว คำจำกัดความของคนต่างด้าว ตามข้อกำหนดของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ห้ามคนต่างด้าวประกอบธุรกิจบางประเภท และบางประเภทจะประกอบธุรกิจได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตหรือได้รับหนังสือรับรองแล้วแต่กรณี  คำจัดความของคนต่างด้าว ตามข้อกำหนดของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว  บุคคลที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย นิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย  นิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย ที่มีทุนตั้งแต่กึ่งหนึ่งเป็นของบุคคลหรือนิติบุคคลตาม (1) หรือ (2) นิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยที่มีทุนตั้งแต่กึ่งหนึ่งของ (1)(2) หรือ (3)   โดยสามารถอ่านรายละเอียดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เพิ่มเติมได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า  ซึ่งถ้าหากเป็นต่างชาติมาทำธุรกิจ อาชีพสงวนคนไทย จะมีความผิดตามกฏหมายไทย ดังนั้นควรศึกษารายละเอียดข้อมูลหรือ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านขอใบอนุญาตในการลงทุนประกอบธุรกิจในไทยอย่าง FDI Group เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น   ต่างชาติถือหุ้น 100 % ได้หรือไม่ ต้องทำอย่างไรบ้าง ? ต่างชาติสามารถถือหุ้น 100% ได้ แต่มีข้อกำหนดทางกฏหมายที่ต้องจดทะเบียน ยื่นขอใบอนุญาตให้ถูกต้องก่อน ในกรณีที่ต่างชาติต้องการจดทะเบียนนิติบุคคลในไทย โดยถือหุ้น 100 % สามารถทำได้อย่างถูกกฏหมายโดย 1.การยื่นขอ Foreign Business License (FBL) หรือ การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติ  2.การยื่นขอการส่งเสริมการลงทุน (BOI : The Board of Investment of Thailand) เพื่อขอยื่นหนังสือรับรองประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติได้ 3.ตามกฏหมายมาตรา 11 ข้อตกลงที่ไทยเป็นภาคี หรือพันธกรณี หรือนักธุรกิจต่างชาติที่อยู่ภายใต้สนธิสัญญาต่าง ๆ ก็สามารถยื่นขอหนังสือรับรองในการประกอบธุรกิจสำหรับชาวต่างชาติได้เช่นกัน  ตัวอย่างใบอนุญาต  ปรึกษาเรา ผู้เชี่ยวชาญในการจดจดจัดตั้งบริษัทสำหรับต่างชาติในไทย คลิ๊ก […]

ใหม่ล่าสุด 2025 ! อัพเดตการเข้าเมืองสำหรับชาวต่างชาติ บัตรการเข้าประเทศดิจิทัลของประเทศไทย (TDAC) แทนแบบฟอร์มการเข้าเมือง TM6

TDAC คืออะไร ? ทำไมต้องส่งข้อมูลบัตรก่อนเข้าประเทศไทย 3 วัน !  วันนี้ FDI ชวนทุกท่านทำความรู้จักกับ TDAC ซึ่งเป็นบัตรการเข้าประเทศดิจิทัลแบบใหม่ที่จำเป็นต้องรู้ก่อนเดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย โดยบทความนี้จะชวนไขข้อสงสัยว่าคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ที่สำคัญขั้นตอนการกรอกข้อมูลนั้นจะต้องกรอกรายละเอียดแบบไหนให้ถูกต้อง ติตตามได้ในบทความนี้  สำหรับ TDAC ย่อมาจาก Thailand Digital Arrival Card หรือ บัตรเข้าประเทศดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งได้ให้ชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาประเทศไทยกรอกข้อมูลเอกสารการเดินทาง ก่อนเดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย ชาวต่างชาติควรส่งข้อมูลบัตรเข้าประเทศภายใน 3 วันก่อนถึงประเทศไทย รวมถึงวันที่เข้าประเทศ ซึ่งเริ่มบังคับใช้เมื่อ 1 พฤษภาคม 2568 ทีผ่านมา  ซึ่ง TDAC จะช่วยให้ขั้นตอนการเข้าประเทศไทยนั้นสะดวกมากขึ้น  บัตรการเข้าประเทศดิจิทัลของประเทศไทย (TDAC) จะเป็นแบบฟอร์มออนไลน์ที่ได้แทนที่บัตรแบบเดิมในการเข้าประเทศ TM6 แบบกระดาษ ซึ่งจะช่วยให้ความสะดวกสบายสำหรับชาวต่างชาติทุกคนที่เดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรไทยไม่ว่าจะทางอากาศ, ทางบก, หรือทางทะเล  TDAC จะใช้เพื่อส่งข้อมูลการเข้าประเทศและรายละเอียดการประกาศสุขภาพก่อนมาถึงไทย ตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งต้องส่งข้อมูลบัตรเข้าประเทศภายใน 3 วันก่อนถึงประเทศไทย รวมถึงวันที่เข้าประเทศ ซึ่งจะทำให้มีเวลาเพียงพอในการดำเนินการและตรวจสอบข้อมูลที่ให้ไว้ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองนั่นเอง ใครบ้างที่ต้องส่ง TDAC ชาวต่างชาติทุกคนที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย จะต้องส่ง Thailand Digital Arrival Card (TDAC) ก่อนการเดินทาง โดยมีข้อยกเว้นดังต่อไปนี้  ชาวต่างชาติที่ผ่านหรือต่อเครื่องในประเทศไทยโดยไม่ต้องผ่านการควบคุมคนเข้าเมือง ชาวต่างชาติที่เข้าประเทศไทยโดยใช้บัตรผ่านแดน  จะสามารถยื่นข้อมูลบัตรได้อย่างไร ชาวต่างชาติสามารถเข้าถึงเว็บไซต์สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ http://tdac.immigration.go.th  โดยที่ระบบจะมีตัวเลือกให้ส่งข้อมูลจำนวน 2 แบบ ได้แก่ การส่งแบบบุคคล – สำหรับนักเดินทางเดี่ยว การส่งกลุ่ม – สำหรับครอบครัวหรือกลุ่มที่เดินทางด้วยกัน ซึ่งชาวต่างชาติสามารถอัพเดทข้อมูลก่อนการเดินทางในการเปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการ  ขั้นตอนการยื่นข้อมูล TDAC ประโยชน์ของระบบ TDAC การเปลี่ยนมาใช้ระบบ TDAC มีข้อดีหลายประการเมื่อเปรียบเทียบกับแบบฟอร์ม TM6 แบบเดิม เช่น  การตรวจคนเข้าเมืองที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น  ลดขั้นตอน ลดเอกสารและการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้สะดวกในการจัดการมากขึ้น มีความแม่นยำ และความปลอดภัยของข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ติดตามข้อมูลผู้เดินทางในด้านวัตถุประสงค์ด้านสาธารณสุข เป็นการบูรณาการเพื่อส่งเสริมให้ผู้เดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรไทยมีความราบรื่นและสัมผัสประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น  เป็นการสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนในการลดการใช้ทรัพยากร  โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและข้อมูลที่สำคัญได้ที่ : บัตรการเข้าประเทศดิจิทัลของประเทศไทย (TDAC)   ต้องการปรึกษาด้านการขอวีซ่า ใบอนุญาตทำงาน การลงทุนในประเทศไทย    FDI […]

วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ใบ ภ.พ. 20 ต้องทำอย่างไร ?

 ใบ ภ.พ. 20 คืออะไร สำคัญอย่างไรสำหรับคนทำธุรกิจ   การจดทะเบียนภ.พ. 20 คือ กระบวนการที่ผู้ประกอบการธุรกิจยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับ กรมสรรพากร เพื่อให้ธุรกิจของตนได้รับการยอมรับตามกฎหมายในการจัดเก็บและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม  เหมาะสำหรับธุรกิจและกิจการที่มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี  ใบ ภ.พ. 20 คืออะไร  ใบ ภ.พ. 20 เป็นใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นเอกสารหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าบริษัทนั้นได้จด Vat หรือเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องมีหน้าที่เพิ่มเติมดังนี้ ยอดขายทุกๆรายการที่เกิดขึ้นจะต้องคิด Vat 7% และนำส่งภาษีขายให้แก่กรมสรรพากร ภาษีซื้อที่เกิดจากยอดซื้อต่างๆ บริษัทต้องเก็บใบกำกับภาษีเอาไว้ เพื่อเป็นหลักฐานในการเครดิตภาษี (คือการนำภาษีซื้อมาหักออกจากภาษีขาย) จะต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มโดยใช้แบบ ภพ.30 เป็นประจำทุกเดือน ตัวอย่าง บริษัท AAA จำกัด มียอดขายทั้งเดือนที่ 10,000 บาท มีภาษีขาย 7% คือ 700 บาท และบริษัทมียอดซื้อทั้งเดือนที่ 8000 บาท มีภาษีซื้อที่ 7% ที่ 560 บาท ดังนั้นยอดที่ทางบริษัทต้องนำส่ง ภพ 30 ให้แก่กรมสรรพากรคือ 700 – 560 = 140 บาท นั่นเอง แต่หากภาษีขาย น้อยกว่า ภาษีซื้อ ยอดที่ติดลบสามารถนำมาเป็นเครดิตภาษีใช้ในเดือนถัดไปได้ ข้อมูลที่มีใน ใบ ภ.พ. 20 มีรายละเอียดที่สำคัญอะไรบ้าง  คำว่า ภพ 20 ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร  ชื่อผู้ประกอบการ ชื่อสถานประกอบการ เลือกแสดงว่าเป็นสำนักงานใหญ่ หรือสาขา ที่อยู่ของบริษัท เบอร์ติดต่อของบริษัท วันที่ให้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ชื่อและตำแหน่งเจ้าหน้าที่สรรพากรของผู้ออกทะเบียนนี้ เพิ่มเติม : ตัวอย่าง ใบ ภ.พ. 30  FDI ให้บริการขอใบอนุญาตนี้เช่นเดียวกัน วิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม  การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในประเทศไทยเป็นกระบวนการที่ผู้ประกอบการธุรกิจต้องดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายภาษีอากร และเพื่อความสะดวกในการจัดเก็บและนำส่งภาษี หากคุณต้องการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถปรึกษา FDI เพื่อรับคำปรึกษาและช่วยดำเนินการได้ด้วยความสะดวกครบครัน พร้อมค่าบริการที่เหมาะสม […]

การประเมิน CFP หรือ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ต้อง “ รายงานอย่างไร ทำอย่างไร” ให้ตอบโจทย์ธุรกิจ

https://youtu.be/JVEvBIDn3qk?si=m2uubWcE2Gzdthax CFP ย่อมาจาก Carbon Footprint for Product หรือ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ธุรกิจจำเป็นที่ต้องทำหรือเป็นเพียงกระแส ? แนวคิดเรื่องความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ได้กลายเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญระดับโลก หนึ่งในกระบวนการที่กำลังได้รับความสนใจและถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ในภาคธุรกิจอย่างแพร่หลาย คือ “การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์” หรือ Carbon Footprint for Products (CFP) แต่คำถามที่หลายคนมีการตั้งคำถามขึ้นคือ การประเมินนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่ธุรกิจควรดำเนินการจริงจัง หรือเป็นเพียงแค่กระแสชั่วคราวที่เกิดจากแรงกดดันทางสังคมและการตลาดเท่านั้น ? ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดย FDI Group ให้ความเห็นว่า “ ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ภาวะโลกเดือดรุนแรงขึ้น เป็นผลกระทบมาจากการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์และจากธรรมชาติ เชื่อว่าทุกท่านคงสัมผัสได้ด้วยตัวท่านเองทั้งสภาพภูมิอากาศที่ย่ำแย่ หรือเปลี่ยนแปลงไป หรือแม้แต่ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตอย่างเห็นได้ชัด เลยเป็นอีกสิ่งที่ชวนให้คิด ว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณต้องหันกลับมาดูแลโลกใบนี้ ?   ธุรกิจจำนวนมาก เริ่มให้ความสำคัญกับการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับแนวโน้มของตลาดโลกที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทั้งการสนับสนุนธุรกิจ ผลิตภัณฑ์สินค้าที่ส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงประเด็นที่น่าจับตาถึงการตั้งข้อกำหนดด้านความยั่งยืนจากประเทศคู่ค้า หรือการบังคับใช้มาตรการทางภาษีและกฎระเบียบใหม่ เช่น กลไกการปรับคาร์บอนตามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ซึ่งกำหนดให้สินค้านำเข้าจากประเทศนอก EU ต้องแสดงค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างชัดเจน หากไม่สามารถแสดงได้หรือค่าคาร์บอนสูงเกินมาตรฐาน อาจถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น หรือไม่สามารถเข้าสู่ตลาดยุโรปได้เลย สำหรับในประเทศไทยก็เตรียมสู่การบังคับใช้ พ.ร.บ.โลกร้อน ที่คาดว่าจะบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ หรือที่เห็นได้ชัดเจนถึงแนวทางนโยบายด้านการส่งเสริมลดการปล่อยคาร์บอนอย่าง การเก็บภาษีคาร์บอนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งจากประเด็นด้านต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นคงได้เห็นถึงทิศทางและโอกาสที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้สำหรับธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ สำหรับการปรับตัว ปรับรูปแบบการดำเนินงานในองค์กร เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้ในการแข่งขันที่ทิศทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไปจากนี้  Carbon Footprint for Product หรือ การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ คืออะไร อ่านต่อในบทความนี้ คลิก !  จริงหรือไม่ ? เริ่มประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ก่อนได้เปรียบมากกว่า ! ต้องบอกว่าจริง “ลองมองมุมกลับว่าถ้าหากเราเริ่มก่อนในตอนนี้ ถ้าวันที่ภาครัฐประกาศบังคับใช้หรือให้ทำ ธุรกิจเราจะไปไกลมากขนาดไหนแล้ว ถ้าหากคนอื่นพึ่งเริ่ม” เพียงเท่านี้ก็น่าจะสามารถตอบข้อสงสัยได้ว่าควรทำเลยหรือไม่ สำหรับองค์กรต่าง ๆ และ ผู้ประกอบการที่มีความพร้อม และถ้าหากวิเคราะห์กันในมุมของความได้เปรียบทางการแข่งขัน การมีข้อมูล CFP อย่างโปร่งใส สามารถกลายเป็นจุดแข็งในโอกาสของการสื่อสารแบรนด์ และสร้างความเชื่อมั่นต่อคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ ที่สำคัญคือผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่อยู่ในตลาดระดับพรีเมียมหรือเป็นสินค้าที่อิงกับภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของมนุษย์ , เครื่องสำอางจากธรรมชาติ […]

1 6 7 8 9 10 28