FDI

タイの就労ビザ Q&A

วีซ่าทำงานในไทย เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการทำงานในประเทศไทย บทความนี้จะตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวีซ่าประเภทนี้ 1. วีซ่าทำงานประเภทใดบ้างที่ชาวต่างชาติสามารถขอได้? วีซ่าทำงานไทยมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับประเภทของงานและสถานะของผู้สมัคร ประเภทวีซ่าทำงานที่พบบ่อย ได้แก่: Non-Immigrant B (วีซ่าธุรกิจ) : เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) Non-Immigrant O (วีซ่าคู่สมรส) : เหมาะสำหรับคู่สมรสของคนไทย Non-Immigrant ED (วีซ่าผู้เชี่ยวชาญ) : เหมาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะพิเศษ Non-Immigrant B-O (วีซ่าประเภทพิเศษ) : เหมาะสำหรับนักลงทุน นักวิจัย นักเรียนทุน และบุคคลอื่น ๆ ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงแรงงาน 2. คุณสมบัติพื้นฐานสำหรับการขอวีซ่าทำงานไทยคืออะไร? หนังสือเดินทางที่มีอายุการใช้งานเหลืออย่างน้อย 6 เดือน รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 ใบ ใบรับรองแพทย์ หลักฐานการเงิน จดหมายเชิญจากบริษัทในไทย (สำหรับวีซ่า Non-Immigrant B) ใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) 3. ขั้นตอนการขอวีซ่าทำงานไทยมีอะไรบ้าง? เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน ยื่นขอวีซ่าที่สถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในประเทศของผู้สมัคร ชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า รอผลการพิจารณา 4. ระยะเวลาในการขอวีซ่าทำงานไทยนานแค่ไหน? ระยะเวลาในการขอวีซ่าทำงานไทยอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทวีซ่าและสถานทูตหรือสถานกงสุลที่ยื่นขอ โดยทั่วไปแล้ว ใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ 5. ค่าธรรมเนียมวีซ่าทำงานในไทย ค่าธรรมเนียมวีซ่าทำงานในไทยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทวีซ่าและสถานทูตหรือสถานกงสุลที่ยื่นขอ โดยทั่วไปแล้ว อยู่ที่ประมาณ 2,000-4,000 บาท 6. วีซ่าทำงานไทยมีอายุการใช้งานนานแค่ไหน? วีซ่าทำงานไทยมีอายุการใช้งาน 1 ปี และสามารถต่ออายุได้ทุกปี 7. สามารถทำงานในประเทศไทยได้นานแค่ไหน? ระยะเวลาการทำงานในประเทศไทย ขึ้นอยู่กับประเภทวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน โดยทั่วไปแล้ว อนุญาตให้ทำงานได้ไม่เกิน 1 ปี และสามารถต่ออายุได้ทุกปี 8. ญาติสามารถมาพำนักในประเทศไทยกับผู้ถือวีซ่าทำงานได้หรือไม่? ญาติสามารถมาพำนักในประเทศไทยกับผู้ถือวีซ่าทำงานได้ โดยต้องขอวีซ่าประเภท Non-Immigrant O (วีซ่าคู่สมรส) หรือ Non-Immigrant B-O (วีซ่าประเภทพิเศษ) 9. วีซ่าทำงานในไทยมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกหรือไม่? นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมวีซ่าแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ […]

給料計算の問題とその解決方法

ระบบการจ่ายเงินเดือน (Payroll) เป็นหัวใจสำคัญในการบริหารทรัพยากรบุคคล (HR) ขององค์กร การจัดการระบบ payroll ที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของพนักงาน และความน่าเชื่อถือขององค์กร อย่างไรก็ตาม ปัญหาเกี่ยวกับ payroll มักเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง สร้างความยุ่งยากและเสียเวลาให้กับฝ่าย HR บทความนี้ขอนำเสนอ 5 ปัญหา HR Payroll ที่พบเจอบ่อย พร้อมวิธีแก้ไข เพื่อเป็นแนวทางให้กับองค์กร 5 ปัญหาที่ HR Payroll พบเจอบ่อย 1. ข้อมูลไม่ถูกต้อง ปัญหาแรกของ HR Payroll เลยก็คือ ข้อมูลไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาที่พบเจอบ่อยที่สุดในระบบ payroll สาเหตุหลักมาจากการป้อนข้อมูลผิดพลาด การคำนวณผิดพลาด หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลพนักงานที่ไม่ทันสมัย ส่งผลต่อความถูกต้องของเงินเดือน ภาษี และเอกสารสำคัญอื่นๆ วิธีแก้ไข ตรวจสอบข้อมูลพนักงานอย่างละเอียดก่อนป้อนเข้าระบบ ใช้ระบบ payroll อัตโนมัติเพื่อลดความผิดพลาด กำหนดขั้นตอนการอนุมัติข้อมูลอย่างชัดเจน อบรมพนักงานเกี่ยวกับระบบ payroll ตรวจสอบข้อมูล payroll อย่างสม่ำเสมอ 2. การคำนวณเงินเดือนผิดพลาด ปัญหานี้พบเจอบ่อยมาก สาเหตุหลักมาจากการคำนวณที่ผิดพลาด เช่น คำนวณภาษีผิด คำนวณโอทีผิด คำนวณค่าล่วงเวลาผิด ฯลฯ ซึ่งส่งผลต่อพนักงานโดยตรง วิธีแก้ไข ใช้ระบบ payroll อัตโนมัติที่มีระบบคำนวณเงินเดือนที่แม่นยำ ตรวจสอบการคำนวณเงินเดือนอย่างละเอียดก่อนจ่าย เก็บเอกสารการคำนวณเงินเดือนไว้เป็นหลักฐาน 3. ล่าช้าในการจ่ายเงินเดือน การจ่ายเงินเดือนล่าช้า ย่อมสร้างปัญหาและความไม่พอใจให้กับพนักงาน วิธีแก้ไข วางแผนงาน Payroll ล่วงหน้า จัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันความล่าช้า ใช้ระบบ Payroll อัตโนมัติจะช่วยลดขั้นตอนและเวลาในการจ่ายเงินเดือน สื่อสารกับพนักงานอย่างชัดเจน เกี่ยวกับสาเหตุของการล่าช้า และแจ้งกำหนดการจ่ายเงินเดือนที่แน่นอน 4. ขาดความโปร่งใส พนักงานควรมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล payroll ของตนเอง วิธีแก้ไข ออกใบแจ้งหนี้เงินเดือนที่ระบุรายละเอียดครบถ้วน ให้พนักงานเข้าถึงข้อมูล payroll ของตนเองผ่านระบบออนไลน์ จัดอบรมให้พนักงานเกี่ยวกับระบบ payroll 5. ไม่มีความปลอดภัย ข้อมูล Payroll เป็นข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน   การจัดการข้อมูลไม่ดี   อาจนำไปสู่การถูกขโมยข้อมูล วิธีแก้ไข ใช้ระบบ payroll ที่มีความปลอดภัย […]

デジタル時代の新たな選択肢

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกแง่มุมของชีวิต ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) จำนวนมากกำลังมองหาวิธีใหม่ ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน หนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ คือการใช้บริการ ” รับจ้างทำเงินเดือน ” บริการ รับจ้างทำเงินเดือน คืออะไร? บริการรับจ้างทำเงินเดือน หรือ Payroll Outsourcing หมายถึง บริการที่บริษัทหรือองค์กรต่างๆ จ้างบริษัทภายนอกมาจัดการงานเงินเดือนพนักงานทั้งหมด หรือบางส่วน แทนการทำด้วยตัวเอง บริการหลักๆ ของบริการรับจ้างทำเงินเดือน ประกอบด้วย คำนวณเงินเดือน : รวมถึงค่าจ้างปกติ ค่าล่วงเวลา โบนัส ค่าคอมมิชชั่น ประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ฯลฯ จัดทำสลิปเงินเดือน : แจ้งรายละเอียดเงินเดือน รายได้ หักค่านั่นนี่ ให้พนักงาน จ่ายเงินเดือน : โอนเงินเดือนให้พนักงานผ่านบัญชีธนาคาร จัดการเอกสาร : เกี่ยวกับเงินเดือน จัดทำรายงานภาษี นำส่งเงินประกันสังคม นำส่งเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้คำปรึกษา : เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน ภาษี ประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ปัญหาใหญ่ของ ธุรกิจ กับงานเงินเดือน เสียเวลา : การคำนวณเงินเดือน ประกันสังคม ภาษีอากร และจัดทำสลิปเงินเดือน เป็นงานที่ใช้เวลาและความละเอียดสูง ความเสี่ยง : การคำนวณที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและส่งผลต่อความสัมพันธ์กับพนักงาน ค่าใช้จ่าย : การจ้างพนักงานบัญชีหรือใช้โปรแกรมเงินเดือนสำเร็จรูป ความยุ่งยาก : การติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายแรงงานและภาษีอากร ทำไมการใช้บริการ รับจ้างทำเงินเดือน จึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับยุคดิจิทัล? 1. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย การใช้บริการรับจ้างทำเงินเดือนช่วยให้ธุรกิจประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้หลายประการ ประหยัดเวลา : ธุรกิจไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานมาดูแลงานด้านเงินเดือนโดยเฉพาะ ช่วยให้สามารถนำเวลาไปโฟกัสกับงานหลักของธุรกิจได้มากขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่าย : ธุรกิจไม่จำเป็นต้องลงทุนในซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์สำหรับการคำนวณเงินเดือน ลดความเสี่ยง : ธุรกิจไม่ต้องกังวลเรื่องความผิดพลาดในการคำนวณเงินเดือน ภาษี และประกันสังคม 2. เพิ่มประสิทธิภาพ บริษัทรับจ้างทำเงินเดือนมักมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง มีความถูกต้องแม่นยำ : มั่นใจได้ว่าเงินเดือน ภาษี และประกันสังคมของพนักงานจะถูกคำนวณอย่างถูกต้อง มีความทันสมัย : บริษัทรับจ้างทำเงินเดือนมักใช้ซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีความปลอดภัย : ข้อมูลของพนักงานจะถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัย 3. […]

2024 年に注目すべき 5 つの HRD トレンド

โลกธุรกิจในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ รูปแบบการทำงานก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก องค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อที่จะอยู่รอดและเติบโตได้ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HRD) มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้องค์กรปรับตัวให้เข้ากับโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป HRD คือ หนึ่งในผู้ที่จำเป็นต้องติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ และหาวิธีนำเทรนด์เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับองค์กร หากท่านใดที่ยังไม่รู้ว่า HRD คือ อะไร สามารถอ่านได้ที่บทความ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRD) – FDI 1. การจ้างงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Work) การจ้างงานแบบยืดหยุ่น หมายถึง แนวทางการทำงานที่ไม่มีข้อกำหนดตายตัวในเรื่อง เวลา รูปแบบ สถานที่ หรือ การแต่งตัว เป็นต้น พนักงานสามารถเลือกเวลา รูปแบบ และสถานที่ทำงานที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน หรือทำงานตามเวลาที่กำหนดตายตัว ตัวอย่างรูปแบบการจ้างงานแบบยืดหยุ่น Flextime: พนักงานสามารถเลือกเวลาเข้างานและเลิกงานได้เอง โดยต้องทำงานให้ครบตามจำนวนชั่วโมงที่กำหนด Work from home (WFH): พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้ทั้งหมด Hybrid work: พนักงานสามารถทำงานผสมผสานระหว่างการเข้าออฟฟิศและทำงานจากที่บ้าน Compressed workweek: พนักงานทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ แต่ละวันทำงาน 10 ชั่วโมง Part-time: พนักงานทำงานจำนวนชั่วโมงน้อยกว่าพนักงานประจำ Freelance: พนักงานทำงานเป็นอิสระ ไม่ได้เป็นพนักงานประจำของบริษัท HRD จำเป็นต้องหาวิธี ออกแบบนโยบายการทำงานแบบยืดหยุ่นที่เหมาะสมกับองค์กร จัดเตรียมเทคโนโลยีที่ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานจากระยะไกลได้ พัฒนาทักษะของพนักงานให้สามารถทำงานแบบยืดหยุ่นได้ 2. การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของพนักงาน (Employee Experience) Employee Experience หรือ EX หมายถึง ประสบการณ์โดยรวมที่พนักงานได้รับ ตลอดระยะเวลาการทำงานในองค์กร เปรียบเสมือนการเดินทางของพนักงาน เริ่มตั้งแต่การสมัครงาน การเข้าทำงาน การทำงาน การพัฒนาตนเอง ไปจนถึงการลาออก องค์กรที่ให้ความสำคัญกับ EX จะมุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานในทุกๆ ด้าน ส่งผลดีต่อทั้งพนักงานและองค์กร ดังนี้ ผลดีต่อพนักงาน ความสุขในการทำงาน: พนักงานรู้สึกดี มีความสุขกับงาน รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ความผูกพันกับองค์กร: พนักงานอยากทำงานกับองค์กรระยะยาว การมีส่วนร่วม: พนักงานทุ่มเท มุ่งมั่น ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาตนเอง: พนักงานได้รับโอกาสในการเรียนรู้ […]

競合に勝つ!デジタル時代の経営戦略術

ยุคดิจิทัลเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ ผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย กลยุทธ์ Business Management ที่ดี จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเอาชนะคู่แข่งและประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล บทความนี้ จะนำเสนอ 5 กลยุทธ์ Business Management ที่จะช่วยให้คุณเอาชนะคู่แข่งในยุคดิจิทัล 1. มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) ยุคดิจิทัลเป็นยุคที่ลูกค้ามีอำนาจต่อรองสูง ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือธุรกิจที่ต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้า พฤติกรรมของลูกค้า และสิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง ธุรกิจต้องสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า วิธีการเช่น เข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง : ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลจะต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อ การค้นหา และความคิดเห็นของลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า : ธุรกิจควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า สื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ และรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า : ประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า (Customer Experience) เป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจยุคใหม่ต้องให้ความสำคัญ ธุรกิจควรสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุก touchpoint ตั้งแต่การค้นหาข้อมูล การซื้อสินค้า การบริการหลังการขาย 2. การนำเทคโนโลยีมาใช้ เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัล ธุรกิจควรนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน พัฒนาสินค้าและบริการ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน : ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อ automate งานต่าง ๆ วิเคราะห์ข้อมูล และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ระบบ ERP, CRM, AI, Big Data ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการ : ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า : ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น การใช้ chatbot เพื่อตอบคำถามลูกค้า หรือการใช้ AI เพื่อแนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการสื่อสารกับลูกค้า : ธุรกิจควรนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการสื่อสารกับลูกค้า เช่น การใช้ Social Media, Email Marketing 3. การพัฒนาทักษะของพนักงาน พนักงานเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ ธุรกิจควรพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้กับพนักงาน : ธุรกิจควรจัดฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้กับพนักงาน เช่น การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์, การใช้ Social Media, การใช้ […]

FDI 環境セミナーレポート【動画版】 「Turning Carbon Tax Management into Profit」

วิดีโอไฮท์ไลท์ภาพบรรยากาศงานสัมมนา “การบริหารจัดการ ภาษีคาร์บอน ให้เป็นผลกำไร” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย งานสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ประกอบการ ได้เห็นความสำคัญของการเตรียมพร้อมและรับมือในการวางแผน “ภาษีคาร์บอน” ไฮท์ไลท์สำคัญจากวิทยากร ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ : ภาคอุตสากรรมชจำเป็นต้องมีการปรับตัวให้ทันไม่ว่าจะเป็นการรับทราบข้อมูลในเรื่องข้องการบริการจัดการคาร์บอนที่ภาครัฐกำลังจะออกข้องกำหนดมา หากเราสามารถบริหารจัดการภาษีคาร์บอนได้ต้นทุนในการผลิตสินค้าของภาคอุตสาหกรรมไปจะสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ คุณพวงพันธ์ ศรีทอง : คาร์บอนฟรุตปริ้นท์ถือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับโลก หัวใจในการทำคาร์บอนฟรุตปริ้นท์ก็คือ ทำแล้วจะต้องมีการลดลงของคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวไปยังเป้าหมายของประเทศที่ได้กำหนดไว้ในปรชี 2065 อย่งไรก็ตามอยากฝากทุกท่านเรื่องของคาร์บอนฟุตปริ้นท์ไว้ด้วย ดร.วันวิศา ฐานังขะโน : อยากเชิญชวนให้ภาคอุตสาหกรรม ร่วมกันจัดทำและผลักดันเรื่องภาษีคาร์บอน เพื่อที่จะได้ส่งออกและขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศต่างๆ ให้ตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม ดร. ชานนท์ วินิจชีวิต : อยากเชิญชวนผู้ประกอบการทุกท่านให้ศึกษาการคำนวนคาร์บอนเครดิตและสิทธิประโยชน์ต่างๆที่ผู้ประกอบการจะได้รับ และเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาความยั่งยืน คุณ ปฤณวัชร ปานสิงห์ : คาร์บอนเครดิต และ คาร์บอนฟรุตปริ้นท์นั้นมีผลกระทบกับทุกคนในแง่การค้าขายและธุรกิจ ในมุมมองของ  Mitsubishi เทคโนโลยีถือเป็นหนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจมีความยั่งยืนได้ คุณภัทร ภัทรประสิทธิ : ในการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคนมีการปล่อนคาร์บอนออกมาไม่มากก็น้อย ดังนั้นหากจัดการบริหารหารคาร์บอนให้ดีนั้นสามารถสร้างรายได้กลับเขามาพัฒนาองค์กรได้ คุณ พรพุฒิ สุริยะมงคล : ภาษีคาร์บอนจะเข้ามามีบทบาทต่อธุรกิจในอนาคต ในมุมมองของ Kbank การทำคาร์บอนเครดิตควรที่จะต้องมีแผนรับมือตั้งแต่เนิ่นๆ ต้องวางแผนระยะยาวและเพื่อหาโซลูชั่นในการลดผลกระทบของธุรกิจในมากที่สุด คุณ นันทพัชร ณ สงขลา : FDI Group ที่ปรึกษาธุรกิจอย่างครบวงจรพร้อมดูแลตั้งแต่การจดจัดตั้งธุรกิจ จนถึง การประเมินคาร์บฟรุตปริ้นท์ เราดูแลครบทุกด้านและพร้อมสนับสนุนธุรกิจสู่ความยั่งยืน คุณพัชราภรณ์ เวชวิทยาขลัง : ในมุมมองของ FDI Group เราเห็นว่าการเติบโตทางธุรกิจสามารถทำควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย ในปีนี้หลายๆธุรกิจเริ่มหันมาสนใจกับความยั่งยืนเป็นพิเศษ ที่ช่วยให้มีแนวโน้มในการดึงดูดั้งลูกค้าและนักลงทุนได้ด้วยค่ะ FDI Group ที่เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจมาช่วยดูแลลูกค้าในการเป็นที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ครอบในทุกมิติของธุรกิจมากขึ้น โดนบริการของเราไม่ได้จบในเรื่องให้คำปรึกษาแต่ยังให้คำแนะนำต่อยอดการขึ้นทะเบียนโครงการและสิทธิประโยชน์ของธุรกิจของท่านด้วยค่ะ ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาต่างแสดงความคิดเห็นว่า “งานสัมมนาครั้งนี้ให้ความรู้และข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก ช่วยให้เข้าใจกลไกภาษีคาร์บอน และแนวทางการบริหารจัดการเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ” “วิทยากรมีความรู้และประสบการณ์จริง ทำให้เนื้อหาน่าสนใจ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้” “งานสัมมนาครั้งนี้ เป็นเวทีที่ดีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการ และผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีคาร์บอน” งานสัมมนาครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการอย่างดีเยี่ยม สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและให้ความสำคัญกับเรื่อง ภาษีคาร์บอน ทาง กลุ่มบริษัท FDI ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ และมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน […]

節税のための5つの投資法

การวางแผนในการ ทำภาษี เป็นส่วนสำคัญของการจัดการการเงินที่ดี  การลงทุนเพื่อประหยัดภาษีเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดที่ช่วยให้คุณสามารถเก็บเงินไว้กับตัวได้มากขึ้น  กลยุทธ์เหล่านี้ใช้ประโยชน์จากกฎหมายภาษีที่มีอยู่เพื่อลดภาระภาษีของคุณ  บทความนี้จะแนะนำ 5 กลยุทธ์การลงทุนเพื่อประหยัดภาษีที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ 1. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) สำหรับการ ทำภาษี RMF ย่อมาจาก Retirement Mutual Fund เป็นกองทุนรวมที่รัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนออมเงินเพื่อใช้หลังเกษียณอายุ โดยมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนี้ การลดหย่อนภาษี สามารถนำเงินที่ลงทุนใน RMF ไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของรายได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ต่อปี เมื่อรวมกับเงินออมเพื่อเกษียณอื่นๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (กบข.) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ประกันแบบบำนาญ และ SSF การยกเว้นภาษีเงินได้ เมื่อไถ่ถอนเงินจาก RMF หลังอายุ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 ปี จะได้รับยกเว้นภาษีทั้งจำนวน กรณีไถ่ถอนเนื่องจาก ทุพพลภาพ หรือ เสียชีวิต เงินที่ไถ่ถอนจะได้รับยกเว้นภาษีทั้งจำนวน เงื่อนไขการลงทุน ต้องลงทุนต่อเนื่อง อย่างน้อย 5 ปี สามารถเว้นการลงทุนได้ ไม่เกิน 1 ปี ติดต่อกัน ซื้อได้ ไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท ต่อปี 2. กองทุนรวมสำรองเลี้ยงชีพ (SSF) สำหรับการ ทำภาษี SSF ย่อมาจาก Super Saving Fund เป็นกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถนำเงินที่ลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี และสามารถรวมกับกองทุนอื่น ๆ เพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท คุณสมบัติของกองทุน SSF ลงทุนได้ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ซื้อขั้นต่ำเพียง 1 บาท ไม่กำหนดจำนวนเงินสูงสุดในการซื้อ ซื้อปีไหน นำไปลดหย่อนภาษีปีนั้น ถือหน่วยลงทุน 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อ ข้อดีของการลงทุน SSF ประหยัดภาษี ลงทุนได้หลากหลาย ออมเงินระยะยาว มีโอกาสได้รับผลตอบแทน ข้อเสียของการลงทุน SSF ต้องถือหน่วยลงทุน 10 ปี ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุน มีความเสี่ยง 3. ประกันชีวิตแบบสะสมทุน […]

ビジネスのための5つの会計戦略

การ ทำบัญชี อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด ช่วยให้เข้าใจสถานะทางการเงิน ตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล และวางแผนสำหรับอนาคต บทความนี้จะนำเสนอ 5 กลยุทธ์การจัดการบัญชีที่ธุรกิจควรนำไปใช้ หากพร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลยค่ะ ! 1. เลือกซอฟต์แวร์เพื่อ ทำบัญชี ให้เหมาะสม ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์บัญชีมากมายให้เลือกใช้ ซอฟต์แวร์ที่ดีจะช่วยลดงาน manual ลง ประหยัดเวลา และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเลือกซอฟต์แวร์บัญชีที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดและประเภทธุรกิจ ซอฟต์แวร์บัญชีมีให้เลือกหลายแบบ แต่ละแบบมีฟังก์ชั่นและราคาที่แตกต่างกัน ธุรกิจขนาดเล็กอาจต้องการซอฟต์แวร์พื้นฐานที่มีฟังก์ชั่นการบัญชีทั่วไป ธุรกิจขนาดใหญ่หรือธุรกิจที่มีความซับซ้อนอาจต้องการซอฟต์แวร์ที่มีฟังก์ชั่นขั้นสูง เช่น การจัดการสินค้าคงคลัง การจัดการโครงการ หรือการบัญชีต้นทุน ฟังก์ชั่นการใช้งาน พิจารณาฟังก์ชั่นที่คุณต้องการ เช่น การออกใบแจ้งหนี้ การบันทึกรายรับรายจ่าย การทำบัญชีแยกประเภท การทำ payroll การจัดการสินค้าคงคลัง งบประมาณ ซอฟต์แวร์บัญชีมีราคาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับฟังก์ชั่นการใช้งานและจำนวนผู้ใช้งาน ความสะดวกในการใช้งาน ซอฟต์แวร์บัญชีควรใช้งานง่าย เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน บริการหลังการขาย ซอฟต์แวร์บัญชีควรมีบริการหลังการขายที่ดี เช่น การสอนใช้งาน การแก้ไขปัญหา 2. บันทึกธุรกรรมทางการเงินอย่างสม่ำเสมอ ทำไมการบันทึกธุรกรรมทางการเงินจึงสำคัญต่อการ ทำบัญชี ? ติดตามสถานะทางการเงิน ช่วยให้คุณทราบว่าธุรกิจของคุณมีเงินสดอยู่เท่าไหร่ รายได้และค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร วางแผนการเงิน ช่วยให้คุณตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมีข้อมูล เช่น ควรลงทุนเพิ่มหรือไม่ ควรขอสินเชื่อหรือไม่ จัดการภาษี ข้อมูลการเงินที่ถูกต้องช่วยให้คุณยื่นภาษีได้อย่างถูกต้องและตรงเวลา สร้างความน่าเชื่อถือ บันทึกการเงินที่โปร่งใส ช่วยให้สร้างความน่าเชื่อถือต่อนักลงทุน ลูกค้า และคู่ค้า 3. จัดทำงบการเงินอย่างสม่ำเสมอ งบการเงินเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจสถานะทางการเงินของธุรกิจ และมีความสำคัญหลายๆ ด้าน เช่น ช่วยให้เข้าใจสถานะทางการเงินของธุรกิจ วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ วางแผนการเงินและติดตามผล ป้องกันปัญหาทางการเงิน ตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม เพิ่มความน่าเชื่อถือต่อนักลงทุนและเจ้าหนี้ ซึ่งองค์ประกอบหลักของงบการเงิน ได้แก่ งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล) แสดงสถานะทางการเงิน ณ วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี ประกอบด้วย สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของเจ้าของ งบกำไรขาดทุน แสดงผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาบัญชี งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น แสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของในรอบระยะเวลาบัญชี หมายเหตุประกอบงบการเงิน อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลในงบการเงิน 4. วิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจสถานะทางการเงิน […]

ビザ申請手順 完全ガイド

การเดินทางไปต่างประเทศในปัจจุบัน หลายๆ ประเทศจำเป็นต้องขอวีซ่าก่อนเข้าประเทศ ซึ่งขั้นตอน การทำวีซ่า และการเอกสารที่ต้องเตรียมอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของวีซ่าและประเทศปลายทาง บทความนี้จึงเป็นคู่มือครบวงจร เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจขั้นตอนและเตรียมตัวสำหรับการขอวีซ่าได้อย่างถูกต้อง 1. ศึกษาประเภทของวีซ่า เนื่องจากวีซ่ามีอยู่หลายประเภท การทำวีซ่าจึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการเดินทาง เช่น วีซ่าท่องเที่ยว วีซ่านักเรียน วีซ่าทำงาน วีซ่าธุรกิจ วีซ่าเยี่ยมญาติ ฯลฯ คุณต้องเลือกประเภทวีซ่าให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการเดินทาง ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวีซ่าประเภทนั้นๆ บนเว็บไซต์ของสถานทูตหรือสถานกงสุลของประเทศปลายทาง ตัวอย่างวีซ่าของไทยเช่น วีซ่าคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant Visa) วีซ่าท่องเที่ยว (Tourist Visa): สำหรับการท่องเที่ยว พักผ่อน ไม่เกิน 60 วัน วีซ่าธุรกิจและทำงาน (Non-Immigrant Visa B): สำหรับการประกอบธุรกิจ ทำงาน วีซ่านักเรียน/นักศึกษาต่างชาติ (Non-Immigrant Visa ED): สำหรับการศึกษาต่อ วีซ่าประเภทอื่นๆ: เช่น วีซ่าแต่งงาน วีซ่าเพื่อการรักษาพยาบาล วีซ่าเพื่อการศึกษาภาษาไทย ฯลฯ วีซ่าคนเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร (Immigrant Visa) Visa Non-Immigrant “O-X” : วีซ่าเกษียณอายุสำหรับชาวต่างชาติโดยได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ในราชอาณาจักรไทยได้เป็นระยะเวลา 5 ปี และสามารถขอขยายวีซ่าต่อได้อีก 5 ปี วีซ่าประเภทอื่นๆ วีซ่าทูต (Diplomatic Visa): สำหรับนักการทูต วีซ่าราชการ (Official Visa): สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐบาล วีซ่าคนเดินทางผ่านราชอาณาจักร (Transit Visa): สำหรับการเดินทางผ่านประเทศไทย 2. เตรียมเอกสาร เอกสารที่ต้องใช้ในการขอวีซ่าจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทวีซ่าและประเทศปลายทาง เอกสารทั่วไปที่มักต้องใช้ ได้แก่ หนังสือเดินทาง (Passport) มีอายุการใช้งานเหลืออย่างน้อย 6 เดือน มีหน้าว่างสำหรับติดวีซ่าอย่างน้อย 2 หน้า รูปถ่าย ขนาด 2 นิ้ว พื้นหลังสีขาว ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน ใบสมัครขอวีซ่า กรอกข้อมูลครบถ้วน ตรงตามความเป็นจริง ลงลายเซ็น หลักฐานการเงิน สมุดบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน หนังสือรับรองเงินเดือน หลักฐานอื่นๆ […]

”環境コンサルタント”とは?
~サステナブル経営を目指して~

ในยุคปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นสิ่งจำเป็น ธุรกิจต่างๆ ต่างต้องเผชิญกับแรงกดดันจากลูกค้า พนักงาน และนักลงทุน ให้ดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การจ้าง ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ที่เชี่ยวชาญเป็นการช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ค้นหาวิธีลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยประหยัดเงินให้กับองค์กรของคุณได้ 1. การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม จะประเมินกิจกรรมของธุรกิจของคุณและระบุถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น ข้อมูลส่วนนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกวิธีดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ที่ปรึกษาสามารถจะประเมินการใช้น้ำ พลังงาน วัตถุดิบ การปล่อยมลพิษ และการจัดการขยะ วิเคราะห์โครงการที่จะดำเนินการ ว่ามีกิจกรรมใดบ้างที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ประเมินผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในระยะสั้นและระยะยาว คาดการณ์ความเสี่ยงและภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น 2. พัฒนากลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมจะช่วยคุณพัฒนากลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยกลยุทธ์ควรครอบคลุมเป้าหมายที่ชัดเจน แผนปฏิบัติงาน และวิธีการวัดผล เช่น การกำหนดเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการใช้น้ำ 10% ภายใน 1 ปี การพัฒนาระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม การลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว การสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับพนักงาน ติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพ ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อใช้น้ำน้อยลง รีไซเคิลวัสดุเหลือใช้ 3. นำกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในองค์กร กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมมีความซับซ้อนและค่อนข้างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้คุณทราบถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ และแนะนำวิธีการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างถูกต้อง เช่น ผู้บริหารสูงสุดต้องกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมในการป้องกันมลพิษ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนที่ชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษร และสื่อสารให้พนักงานทุกคนทราบ องค์กรควรพัฒนาระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System : EMS) ที่เป็นระบบและกำหนดเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม วางแผน ติดตามผล และวัดผลการดำเนินงาน พนักงานทุกคนควรได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และวิธีปฏิบัติงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม องค์กรควรระบุตัวชี้วัด (Key Performance Indicators : KPIs) ที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อม 4. แนะนำเทคโนโลยีสีเขียวเพื่อพัฒนองค์กร ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม สามารถแนะนำเทคโนโลยีสีเขียวที่สามารถช่วยคุณลดการใช้วัตถุดิบ น้ำ พลังงาน และลดการปล่อยมลพิษ การลดการใช้พลังงานลัหันมาใช้พลังงานสะอาด เช่น แผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม พลังงานน้ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการขนส่งที่ยั่งยืน เช่น รถยนต์ไฟฟ้า จักรยาน ระบบขนส่งสาธารณะ อาคารสีเขียว เช่น วัสดุก่อสร้างรีไซเคิล ระบบประหยัดพลังงาน การออกแบบที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีการเกษตร เช่น การเกษตรอัจฉริยะ ระบบน้ำหยด เทคโนโลยีชีวภาพ การลดปริมาณขยะ เช่น การคัดแยกขยะ […]

1 10 11 12 13 14 23